ที่รัฐอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา เกิดเหตุคนร้ายกราดยิงในร้านซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 10 ราย ในกลุ่มผู้ที่บาดเจ็บมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย และคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่
ตำรวจเปิดเผยว่า เหตุเกิดขึ้นที่ร้านซูเปอร์มาร์เก็ตแมด บุชเชอร์ (Mad Butcher) ในเมืองฟอร์ไดซ์ ที่มีประชากร 3,200 คน ห่างจากลิตเติลร็อกไปทางใต้ประมาณ 112 กม. ในกลุ่มผู้บาดเจ็บที่เป็นประชาชนทั่วไปมีอาการตั้งแต่ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตไปจนถึงขั้นวิกฤตอย่างยิ่ง ส่วนคนร้ายที่ก่อเหตุ คือนายทราวิส ยูจีน โพซีย์ อายุ 44 ปี จากเมืองนิวเอดินเบิร์ก ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์กักขังเคาน์ตี้โออาชิตา ในเบื้องต้นเขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา 3 กระทง ตามที่มีผู้เสียชีวิตและยังมีข้อหาอื่น ๆ อีกที่รอการพิจารณาเพิ่มเติม
นางซาราห์ แซนเดอร์ส ฮัคคาบี ผู้ว่าการรัฐ โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ว่าเธอได้รับข้อมูลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ขอบคุณเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและหน่วยกู้ภัยสำหรับการกระทำที่รวดเร็วและกล้าหาญในการช่วยชีวิตผู้คน ขอส่งคำอธิษฐานให้กับทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้
ดับรายที่ 4 เหยื่อกราดยิงกลางซุปเปอร์มาร์เก็ตอาร์คันซอ เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า หลังเกิดเหตุกราดยิงกลางซุปเปอร์มาร์เก็ต Mad Butcher ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟอร์ไดซ์ รัฐอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน และทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บอีก 11 ราย ซึ่งรวมทั้งผู้ก่อเหตุด้วย ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ตำรวจเปิดเผยว่า มีเหยื่อที่ถูกยิง เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงครั้งนี้แล้ว 4 ราย ทั้งหมดเป็นประชาชนทั่วไป
ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 10 คน และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 ราย ในจำนวนผู้บาดเจ็บมีอยู่ 4 คน ที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล รวมทั้งผู้หญิง 1 รายที่มีอาการสาหัส
โดยตำรวจเปิดเผยว่า นายทราวิส ยูจีน ผู้ก่อเหตุอายุ 44 ปี ซึ่งถูกตำรวจยิงได้รับบาดเจ็บ จะถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม ถึง 4 กระทงด้วยกัน และตอนนี้อาการบาดเจ็บของยูจีนไม่ได้รุนแรงมาก เมื่อใดที่ออกจากโรงพยาบาลจะถูกนำตัวไปคุมขัง แต่ตำรวจยังไม่ได้เปิดเผยถึงสาเหตุในการก่อเหตุของยูจีน
————————————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : มติชนออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 23 มิ.ย. 2567
Link : https://www.matichon.co.th/foreign/news_4643498