ขณะนี้เกิดคำถามสำคัญขึ้นจำนวนมากในหมู่ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลก ซึ่งกรมกิจการลับของสหรัฐฯ (USSS) หรือ หน่วยรักษาความปลอดภัยของสหรัฐฯ จำเป็นจะต้องให้คำตอบอย่างเร่งด่วน หลังเกิดเหตุลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างการปราศรัยหาเสียงในรัฐเพนซิลเวเนีย จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหนึ่งรายและบาดเจ็บสาหัสอีกสองราย ส่วนตัวของทรัมป์เองนั้นก็ได้รับบาดเจ็บที่ใบหู
ถึงแม้ว่าสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) จะรับหน้าที่เป็นผู้นำการสืบสวนเบื้องหลังของเหตุไม่คาดฝันดังกล่าว แต่ทางกรมกิจการลับในสังกัดกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ซึ่งมีหน้าที่อารักขาบุคคลสำคัญของสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาระบุเช่นกันว่า กำลังเร่งสืบสวนถึงที่มาของเหตุลอบสังหารทรัมป์ เพื่อตอบคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร รวมทั้งจะป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ให้เกิดซ้ำรอยเดิมอีกได้อย่างไรด้วย
ด้านนางคิมเบอร์ลี ชีเทิล อธิบดีกรมกิจการลับ ได้ถูกเรียกตัวเข้ารับการไต่สวนจากคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในวันที่ 22 ก.ค. ซึ่งคาดว่าประเด็นสำคัญที่นักการเมืองอเมริกันและบรรดาผู้เชี่ยวชาญจะซักถามเขาในครั้งนี้ น่าจะประกอบไปด้วย 5 คำถามหลักด้วยกัน
เหตุใดไม่ตรวจสอบบนหลังคาที่มือปืนซุ่มอยู่ล่วงหน้า?
ยังคงไม่ชัดเจนว่า มือปืนผู้ต้องสงสัยซึ่งก็คือนายโทมัส แมตธิว ครูกส์ ขึ้นไปอยู่บนหลังคาของตัวอาคารที่อยู่ห่างจากแท่นยืนปราศรัยหรือโพเดียมของทรัมป์เพียง 130 กว่าเมตร ได้อย่างไร
รายการข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี (NBC News) รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวสองรายที่คุ้นเคยกับปฏิบัติการของกรมกิจการลับเป็นอย่างดีว่า เหล่าเจ้าหน้าที่ทราบดีถึงความเสี่ยงของจุดอันตรายดังกล่าว โดยทราบมาตั้งแต่ก่อนจัดการปราศรัยครั้งนี้ของทรัมป์แล้ว
แหล่งข่าวผู้หนึ่งของเอ็นบีซีบอกว่า “ควรจะมีใครบางคนประจำการอยู่บนหลังคาแห่งนั้น หรือไม่ก็จัดการรักษาความปลอดภัยโดยรอบตัวอาคารนั้นเอาไว้ เพื่อป้องกันคนแอบเข้าไปซุ่มยิงบนหลังคา”
นอกจากคำถามที่ว่า มือปืนเข้าไปในตัวอาคารและขึ้นไปบนหลังคาได้อย่างไรแล้ว ยังมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ไม่จัดการรักษาความปลอดภัยหรือปิดกั้นแนวเส้นสายตาจากหลังคาสู่แท่นยืนปราศรัยของทรัมป์ เพราะผู้ประสงค์ร้ายสามารถเล็งปืนโดยมองตรงลงมาจากบนหลังคาดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย
ด้านนายอะเลฮันโดร มายอร์กาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ได้กล่าววิจารณ์ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอบีซี (ABC) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ก.ค. ว่ามือปืนไม่ควรจะอยู่ในตำแหน่งซึ่งสามารถมองตรงมายังทรัมป์ได้ตั้งแต่แรก
นายมายอร์กาสยังบอกว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดของเขา “จะศึกษาเหตุการณ์นี้โดยละเอียดอย่างจริงจังเป็นกรณีพิเศษ เพื่อที่จะสามารถให้คำแนะนำแก่กรมกิจการลับและตัวผมเองได้”
มีการสื่อสารเพื่อเตือนภัยเรื่องมือปืนกันหรือไม่?
พยานผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งบอกกับบีบีซีว่า เขามองเห็นมือปืนหมอบและคลานไปมาอยู่บนหลังคาอย่างชัดเจนโดยถือปืนไรเฟิลเอาไว้ด้วย เขารีบแจ้งเตือนเหตุน่าสงสัยดังกล่าวกับตำรวจ แต่มือปืนก็ยังคงขยับเคลื่อนที่ไปมาต่อได้อีกหลายนาที ก่อนจะลั่นไกปืนและถูกยิงตอบโต้ในทันทีจนเสียชีวิต
นายเควิน โรเจ็ก เจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษของเอฟบีไอกล่าวยอมรับว่า การที่ผู้ลอบสังหารสามารถลั่นไกปืนออกมา ถือเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย
ด้านนายอำเภอของเขตที่ตั้งเวทีปราศรัยกล่าวยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจของท้องถิ่นผู้หนึ่งสังเกตเห็นมือปืนบนหลังคา แต่ไม่สามารถเข้าไปยับยั้งการยิงโจมตีได้ทันเวลา สิ่งหนึ่งที่ยังไม่แน่ชัดก็คือ ข้อมูลเตือนภัยนี้ได้ส่งไปถึงหน่วยอารักขาที่อยู่รอบตัวทรัมป์หรือไม่
เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายอาวุโสที่ไม่ประสงค์ออกนามรายหนึ่ง เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นว่า อันที่จริงอุปกรณ์เรดาร์ของเจ้าหน้าที่สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของมือปืนได้ก่อนเกิดเหตุ โดยพบว่าเขามีท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ น่าสงสัย ขณะอยู่ใกล้กับมาตรวัดพลังแม่เหล็ก (magnetometer) ในงานนั้น แหล่งข่าวยังอ้างว่ามีการแจ้งข้อมูลนี้ไปยังทีมรักษาความปลอดภัยของกรมกิจการลับเรียบร้อยแล้ว
กรมกิจการลับหวังพึ่งตำรวจท้องถิ่นมากเกินไปหรือไม่?
มีการเปิดเผยว่า มือปืนผู้ลอบสังหารทรัมป์ลั่นไกจากบริเวณที่เรียกว่า “วงแหวนชั้นที่สอง” (secondary ring) หรือแนวการรักษาความปลอดภัยโดยรอบที่อยู่ห่างจากตัวบุคคลสำคัญออกไปขั้นหนึ่ง ซึ่งตามปกติการเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยในจุดนี้จะใช้ตำรวจท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นเป็นหลัก
อดีตเจ้าหน้าที่กรมกิจการลับผู้หนึ่งเปิดเผยว่า วิธีจัดเตรียมการเพื่อรักษาความปลอดภัยแบบนี้จะได้ผลดี ก็ต่อเมื่อมีการวางแผนอย่างชัดเจนล่วงหน้ามาแล้วว่า จะต้องทำอย่างไรหากพบว่ากำลังจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
“เมื่อต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อนร่วมงานที่เป็นเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น คุณควรจะวางแผนล่วงหน้าอย่างระมัดระวัง และบอกกล่าวกันด้วยว่าคุณคาดหวังให้พวกเขาทำอะไร เมื่อต้องเผชิญกับเหตุเสี่ยงอันตราย” โจนาธาน แว็กโครว์ กล่าวให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
นายอำเภอประจำเขตที่ตั้งเวทีปราศรัยของทรัมป์ กล่าวยอมรับว่ามี “ความผิดพลาดล้มเหลว” เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ควรกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ
มีการใช้ทรัพยากรเพื่อจัดเตรียมงานอย่างเหมาะสมหรือไม่ ?
อดีตประธานของคณะกรรมาธิการผู้กำกับดูแลในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวตำหนิว่าเจ้าหน้าที่ของกรมกิจการลับที่อยู่ในงานปราศรัยมีน้อย จนกระจายตัวกันเฝ้ารักษาความปลอดภัยได้ไม่ทั่วถึง ทำให้มีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่เบาบางเกินไปในจุดหนึ่ง ๆ
เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอีกประเด็น ซึ่งได้แก่การที่ตำรวจท้องถิ่นไม่เคยได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติมเรื่องการรักษาความปลอดภัยมาก่อน จึงไม่อาจรับมือกับงานใหญ่อย่างการปราศรัยของทรัมป์ได้
เจสัน ชาฟเฟ็ตส์ ซึ่งเคยรายงานข่าวเกี่ยวกับความผิดพลาดของกรมกิจการลับมาก่อน บอกกับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ว่า ไม่มีข้อมูลประเมินแนวโน้มความเสี่ยงต่อภัยอันตรายของบุคคลใด จะมีรายละเอียดมากไปกว่าข้อมูลของโดนัลด์ ทรัมป์ และ โจ ไบเดน อีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าข้อมูลเหล่านี้กลับไม่ถูกนำมาใช้ ในการรักษาความปลอดภัยที่งานปราศรัยครั้งล่าสุดของทรัมป์เลย
อย่างไรก็ตาม กรมกิจการลับได้ปฏิเสธข่าวเล่าลือที่ว่า คำขอล่วงหน้าให้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากทีมงานหาเสียงของทรัมป์ ไม่ได้รับการตอบสนอง
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานถึงประเด็นข้างต้นว่า เนื้อหาของข้อความที่ถามตอบกันระหว่างอดีตเจ้าหน้าที่กรมกิจการลับผู้หนึ่งกับเพื่อน ๆ ชี้ว่ามือปืนนำอาวุธเข้าไปในจุดที่อยู่ใกล้ทรัมป์อย่างมากได้ มีสาเหตุมาจากการขาดแคลน “ทรัพยากร” ซึ่งไม่ชัดเจนว่าเป็นทรัพยากรบุคคลหรือสิ่งอื่น ๆ ด้วย
อธิบดีกรมกิจการลับแถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 15 ก.ค. ว่ามีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนรักษาความปลอดภัยให้กับทรัมป์ ก่อนการประชุมใหญ่ระดับชาติของพรรครีพับลิกันจะเริ่มขึ้นที่เมืองมิลวอกีของรัฐวิสคอนซินในวันเดียวกัน แต่เธอมีความมั่นใจอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของแผนการที่วางไว้ดังกล่าว
ทรัมป์ถูกพาลงจากเวทีช้าเกินไปหรือไม่ ?
ทีมผู้อารักขาที่เข้ารุมล้อมเป็นเกราะป้องกันให้กับทรัมป์ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากคนทั่วไป รวมทั้งจากนายโรเบิร์ต แม็กโดนัลด์ อดีตผู้คุ้มกันที่มากประสบการณ์ โดยเขาบอกว่าทีมอารักขาของทรัมป์ “ทำได้ค่อนข้างดี” แม้จะไม่มีการสอนสูตรสำเร็จหรือแนวทางที่ตายตัวสำหรับการแก้ไขสถานการณ์แบบดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ตั้งคำถามว่าทีมอารักขาทำงานได้รวดเร็วเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรีบนำตัวทรัมป์ลงจากเวทีปราศรัยและพาไปหลบในรถยนต์กันกระสุน
ภาพวิดีโอจากเหตุการณ์จริงแสดงให้เห็นว่า ทีมอารักขาเข้าโอบล้อมกำบังตัวทรัมป์ไว้ในทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น แต่ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาต้องสะดุดหยุดลง เมื่อทรัมป์สั่งให้ก้มเก็บรองเท้าของเขาก่อน จากนั้นทรัมป์ยังหยุดยืนเพื่อชูกำปั้นให้กลุ่มผู้สนับสนุนได้เห็นกันอีกด้วย
เจฟฟรีย์ เจมส์ อดีตเจ้าหน้าที่กรมกิจการลับที่มากประสบการณ์ผู้หนึ่ง บอกกับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า ถ้าเขาเป็นหนึ่งในทีมอารักขาของทรัมป์ เขาจะไม่หยุดรออย่างเด็ดขาด
“ถ้าผมอยู่ด้วยตอนนั้นละก็…ไม่รออย่างแน่นอน เราจะต้องรีบไปและไปเดี๋ยวนี้” เจมส์กล่าว “หลังจากนั้นผมค่อยซื้อรองเท้าคู่ใหม่คืนให้ทรัมป์”
บทความโดย เทสซา หว่อง และ เจมส์ ฟิตซ์เจอรัลด์/บีบีซีนิวส์
————————————————————————————————————-
ที่มา : บีซีซีไทย / วันที่เผยแพร่ 16 ก.ค.67
Link :https://www.bbc.com/thai/articles/c2lkpzgd8npo