สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เผยแพร่ความเห็นของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ตอบข้อหารือและให้คำแนะนำหน่วยงานของรัฐเพื่อรองรับการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA มาตรา 4 (3) เรื่องข้อยกเว้นการใช้บังคับ PDPA กับกิจการสื่อมวลชน
ในข้อหารือดังกล่าว สถานีตำรวจภูธรแห่งหนึ่งได้รับแจ้งความร้องทุกข์กรณีผู้เสียหายถูกสำนักข่าวอ่านข่าวใส่ความว่า “โกงค่าอาหาร” ทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาของศาล
และในระหว่างที่มีการประกาศข่าว สำนักข่าวได้นำข้อมูลส่วนบุคคลออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยการออกฉาย เจตนาให้ผู้ชมได้เห็นใบหน้าโดยตรง และมีข้อความชี้ที่ตัวบุคคลว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยมิได้มีการปิดบังหรืออำพราง ทำให้ได้รับความอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียงเกิดความเสียหาย
ผู้เสียหายจึงได้ร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นสื่อสารมวลชน ซึ่งอาจได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 4 (3) PDPA สถานีตำรวจภูธรดังกล่าวจึงขอหารือมายัง สคส. เพื่อให้ความเห็นว่าการกระทำของสำนักข่าวดังกล่าวอยู่ภายใต้ข้อยกเว้นตามมาตรา 4 (3) PDPA หรือไม่
ความเห็นของสำนักงาน กสทช.
ในกรณีดังกล่าว สถานีตำรวจภูธรได้ขอความเห็นไปยัง สำนักงาน กสทช. (อ้างถึงไว้ในความเห็นของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ) ก่อนที่จะหารือมายัง สคส. ด้วยว่า การกระทำของสื่อมวลชนดังกล่าวขัดหรือแย้งกับกฎหมาย ที่อยู่ในอำนาจการบังคับใช้ของสำนักงาน กสทช. หรือไม่
สำนักงาน กสทช. ได้ให้ความเป็นว่า หมวดที่ 3 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กำหนดแนวทางการส่งเสริมและควบคุมจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และการคุ้มครองผู้เสียหายจากการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ให้เป็นหน้าที่ของ “คณะกรรมการควบคุมจริยธรรม” ที่เกิดจากการรวมกลุ่มตามที่สื่อมวลชนสังกัด
ด้วยเหตุนี้ ตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายดังกล่าวทั้งสองฉบับ รวมถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มุ่งคุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
จึงเป็นการมุ่งหมายให้สื่อมวลชนไม่ถูกควบคุมดูแลภายใต้อำนาจของรัฐบาลหรือหน่วยงานใดๆ ของรัฐ อันจะทำให้ถูกจำกัดสิทธิ เสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
ในการควบคุมจริยธรรมแห่งวิชาชีพในปัจจุบัน กฎหมายได้กำหนดเจตนารมณ์ให้มี “กลไกในการกำกับดูแลกันเอง” (Self-regulation) ภายใต้มาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ที่เกี่ยวกับการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เป็นองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ
กสทช. จึงไม่อาจมีอำนาจในการพิจารณาว่าการนำเสนอข่าวของรายการข่าวดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามจรรยาบรรณหรือจริยธรรมของสื่อสารมวลชนหรือไม่ การพิจารณาดังกล่าวจึงควรเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่เกิดจากการรวมกลุ่มที่มีสำนักข่าวดังกล่าวเป็นสมาชิก
ความเห็นของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ
PDPA ใช้บังคับกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งครอบคลุมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจทุกภาคส่วนด้วย
อย่างไรก็ดี มาตรา 4 (3) PDPA บัญญัติให้ยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายกับบุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ทำการเก็บรวบรวมไว้เฉพาะเพื่อกิจการสื่อมวลชน อันเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือประโยชน์สาธารณะเท่านั้น
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามที่ขอความเห็นดังกล่าว เป็นกรณีการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของนิติบุคคลที่ทำการเก็บรวบรวมไว้เฉพาะเพื่อกิจการสื่อมวลชน จึงอาจมีลักษณะที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 4 (3) PDPA
แต่สถานีตำรวจภูธรดังกล่าวจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่า การนำเสนอหรือเผยแพร่ข่าวสารดังกล่าวเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะหรือไม่
สถานีตำรวจควรขอความเห็นจาก “องค์กรกำกับวิชาชีพสื่อ” ที่สำนักข่าวดังกล่าวเป็นสมาชิกว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพของกิจการสื่อมวลชนหรือไม่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จากความเห็นของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ ดังกล่าว คณะอนุกรรมการฯ จึงยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นว่า การนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนดังกล่าวเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือประโยชน์สาธารณะหรือไม่ เนื่องจากตาม PDPA ไม่ได้มอบอำนาจส่วนนี้ไว้
แต่ให้เป็นไปตามกฎหมายเฉพาะซึ่งกำกับดูแลกิจการสื่อมวลชน ในขณะที่ สำนักงาน กสทช. ก็พิจารณาว่าตนเองไม่มีอำนาจในการพิจารณาว่าการนำเสนอข่าวดังกล่าวเป็นไปตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพหรือไม่
การพิจารณาว่าการนำเสนอข่าว เป็นไปตามจริยธรรม แห่งการประกอบวิชาชีพ ตามกลไกการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบันจึงอยู่ที่ “คณะกรรมการควบคุมจริยธรรม” ตามหลักการกำกับดูแลกันเอง (Self-regulation)
จากการวินิจฉัยข้อกฎหมายของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจฯ ในส่วนของ PDPA ดังกล่าว นำมาซึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิต่างๆ ตามที่ PDPA กำหนดไว้ด้วย อาทิ สิทธิในการขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในการขอให้ระงับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
หรือสิทธิในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ฯลฯ จึงไม่สามารถใช้บังคับได้เนื่องจากกิจการสื่อมวลชนอยู่ภายใต้ข้อยกเว้นตามมาตรา 4 (3) PDPA
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าการขอใช้สิทธิลบเนื้อหาข่าวโดยการกล่าวอ้างสิทธิตาม PDPA จึงไม่สามารถกระทำได้เช่นกัน เว้นแต่มีคำวินิจฉัยหรือแนวทางจากองค์กรวิชาชีพของสื่อมวลชนว่า กรณีดังกล่าวไม่เป็นไปตามจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน ย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายอาญาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาท หรือกฎหมายอื่นๆ หากการกระทำดังกล่าวต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้น ๆ
ที่มา https://www.pdpc.or.th/wp-content/uploads/2024/02/PDPC-consultation-21.pdf
บทความโดย ระวีวรรณ ขันติวิริยะพานิช บริษัท ดีพีโอเอเอเอส จำกัด | ศุภวัชร์ มาลานนท์ GMI มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
——————————————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : Bangkokbiznews / วันที่เผยแพร่ 29 กรกฎาคม 2567
Link : https://www.bangkokbiznews.com/tech/1135252