สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงมานากัว ประเทศนิการากัว เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ว่า การปฏิรูปด้วยกฎหมายดังกล่าว กำหนดโทษจำคุกสูงสุด 30 ปี สำหรับผู้กระทำความผิด ฐาน “บ่อนทำลายบูรณภาพแห่งชาติ”
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงมานากัว ประเทศนิการากัว เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ว่า การปฏิรูปด้วยกฎหมายดังกล่าว กำหนดโทษจำคุกสูงสุด 30 ปี สำหรับผู้กระทำความผิด ฐาน “บ่อนทำลายบูรณภาพแห่งชาติ”
ทั้งนี้ การผ่านกฎหมายข้างต้นเกิดขึ้น หลังสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์) ในเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รายงานว่า กรณีการกักขังตามอำเภอใจ, การข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล, การปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมระหว่างการคุมขัง และการโจมตีชนพื้นเมือง มีจำนวนเพิ่มขึ้น อีกทั้งสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในนิการากัว ก็เลวร้ายอย่างมาก นับตั้งแต่ปีที่แล้ว
ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชน “ฮิวแมน ไรท์ส วอทช์” (เอชอาร์ดับเบิลยู) แสดงความกังวลว่ากฎหมายดังกล่าวอาจถูกใช้เพื่อกดดัน และข่มขู่พลเมืองกับชาวต่างชาติที่ลี้ภัยมากขึ้น จากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิอื่น ๆ อย่างชอบธรรม
ขณะที่ นายโฟลเคอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้รัฐบาลนิการากัว ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังตามอำเภอใจทุกคน, ยุติการทรมานและการกดขี่ข่มเหง ตลอดจนคืนสถานะทางกฎหมายให้กับองค์กรภาคประชาสังคม และพรรคฝ่ายค้านในประเทศ
เครดิตภาพ : AFP
————————————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 4 ก.ย.67
Link : https://www.dailynews.co.th/news/3826419/