มทส.วางมาตรการป้องกันเข้ม หลัง 200 นักศึกษาถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงิน กว่า 10 ราย ไปขังตัวเองเรียกค่าไถ่ผู้ปกครอง หลายราย ยันระบบรักษาข้อมูลแน่นหนา ไม่มีหลุดไปถึงมือโจรแน่นอน
จากกรณีมีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หรือ มทส. ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรลวงใช้กลอุบายต่าง ๆ หลอกให้โอนเงินช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีเหยื่อกว่า 200 ราย สูญเสียเงินไปกว่า 3 ล้านบาท บางรายถูกหลอกให้ไปเช่าหอพักกักตัว เพื่อเรียกเงินค่าไถ่จากผู้ปกครอง บางรายสูญเสียเงินถึง 5 แสนบาท
โดยเรื่องนี้ วันที่ 11 ต.ค.2567 นายอรรถวุฒิ ภูคำวงษ์ ที่ปรึกษาหอพักที่นักศึกษารายหนึ่งตกเป็นเหยื่อ พาเข้าไปดูมาตรการรักษาความปลอดภัยของหอพัก พบติดป้ายประกาศแจ้งเตือนภัยไว้ในหอพักหลายจุด ทั้งบริเวณหน้าหอพัก ในห้องน้ำ และบริเวณห้องโถงอ่านหนังสือ นอกจากนี้หอพักยังมีเจ้าหน้าที่ รปภ.คอยดูแลความสงบเรียบร้อยตลอด 24 ชั่วโมง
มีกล้องวงจรปิดติดไว้หลายจุด มีห้องอาจารย์ที่ปรึกษาหอพัก และมีสมุดลงชื่อเข้า-ออก หอพัก ซึ่งนักศึกษาทุกคนที่เข้า-ออก ต้องลงชื่อ ลงเวลาไว้อย่างชัดเจน พร้อมกันนี้ยังได้มีการแจ้งเตือนไปยังเพจเฟสบุ๊คของมหาวิทยาลัย และกลุ่มไลน์ต่าง ๆ ของนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตือนภัยไม่ให้นักศึกษาตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซ้ำอีก
ด้าน ผศ.ดร.หนึ่งหทัย ขอผลกลาง รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มทส. กล่าวว่า กรณีมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกนักศึกษา มทส.มากถึง 200 คนนั้น เป็นข้อมูลที่ มทส.ร่วมกับ ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง รวบรวมมาช่วง 2 เดือนระหว่าง ส.ค.-ก.ย.2567 ซึ่งมีหลายกรณี เช่น การหลอกให้โอนเงินซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้ของ, การข่มขู่ให้กลัวแล้วโอนเงิน, กำลังจะถูกหลอกแล้วรู้ตัวไปแจ้งความไว้ ส่วนกรณีถูกหลอกให้ไปเช่าห้องกักตัวเพื่อเรียกเงินค่าไถ่กับผู้ปกครองนั้น มีอยู่ประมาณ 10 รายเท่านั้น ทั้งหมดมีตั้งแต่เสียเงินไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงหลายแสนบาท
ดังนั้นทำให้ทาง มทส. ต้องออกมาแจ้งข่าวเพื่อเตือนภัยต่อสังคม และเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจกับนักศึกษาของ มทส. รวมทั้งติดป้ายแจ้งเตือนไปตามสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อไม่ให้นักศึกษาตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซ้ำอีก หลังเกิดเหตุตำรวจ มาพูดคุยกับมทส.ว่าอาจจะเกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ มหาวิทยาลัยได้ตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลนักศึกษาทั้งระบบ ก็ไม่พบการว่ามีแฮกเจาะระบบเข้ามาล้วงข้อมูลแต่อย่างใด ระบบมีการป้องกันอย่างแน่นหนา
จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากนักศึกษาไปให้ข้อมูลที่อื่นไว้ เนื่องจากว่าจากการสอบถามนักศึกษาบางราย ที่ตกเป็นเหยื่อ พบว่ามิจฉาชีพรู้กระทั่งชื่อตา ยาย และความชอบส่วนตัว ซึ่งมหาวิทยาลัยไม่ได้มีการเก็บข้อมูลเหล่านี้เลย ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุเกิดขึ้นมาแล้วมหาวิทยาลัยฯ ก็ได้มีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยประสานเรื่องการแจ้งความ และติดตามความคืบหน้าคดี มีกองทุนกู้ยืมฉุกเฉิน และทุนอาหารกลางวัน ไว้ช่วยเหลือนักศึกษาที่ได้รับความเดือดร้อนทุกราย อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่จิตแพทย์ เพื่อช่วยเหลือให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตด้วย
ผศ.ดร.หนึ่งหทัยฯ กล่าวอีกว่า จากการสอบถามนักศึกษาที่ตกเป็นเหยื่อ ทราบว่านักศึกษาทุกคนรู้ดีว่าพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะมีลักษณะเช่นไร แต่ทั้งที่รู้ก็ยังตกเป็นเหยื่อ เนื่องจากไปหลงพูดคุยและถูกมิจฉาชีพใช้ข้อมูลส่วนบุคคลมาให้ดูน่าเชื่อถือ ประกอบกับใช้จิตวิทยาขั้นสูงพูดคุยโน้มน้าวจิตใจ ให้เกิดความหวาดกลัวกระทั่งตกอยู่ในภาวะหลงลืมสิ่งที่เคยรับรู้ข่าวสารมาไปทั้งหมด และกว่าจะรู้ตัวก็ถูกหลอกให้โอนเงิน สูญเสียเงินไปจำนวนมากแล้ว
ดังนั้นอยากฝากเตือนไปยังนักศึกษา หรือประชาชนทั่วไปว่า อย่าเพิ่งมั่นใจในตัวเองว่าจะสามารถรับมือกับการโน้มน้าวจิตใจของมิจฉาชีพนัก บางคนอาจจะอยากลองคุยกับมิจฉาชีพดู แต่สุดท้ายก็ต้องตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่อยากแนะนำคือถ้ามีอะไรที่สงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ อย่าไปรับสาย หรือไปหลงพูดคุยเด็ดขาด ให้รีบตัดสายทิ้งไปทันทีจะดีที่สุด
———————————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 11 ต.ค.67
Link : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9455338