ที่เมืองยอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ชายคนหนึ่งได้เข้าทำร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังรณรงค์หาเสียงให้รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส โดยชกชายวัย 74 ปีที่ศีรษะ และด่าชายอีกคนหนึ่งว่า “คนสนับสนุนนิโกร” ก่อนจะหลบหนีไป
ในภาคเหนือของรัฐมิชิแกน ผู้โจมตีที่โกรธแค้นด้วยความเกลียดชังโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ใช้รถ ATV ขับชนและทำร้ายชายวัย 81 ปีที่กำลังติดป้ายรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของอดีตประธานาธิบดี
การโจมตีเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกรณีความรุนแรงทางการเมืองอย่างน้อย 300 กรณีที่สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุได้นับตั้งแต่ผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้าทำลายอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โดยมีเหตุการณ์อย่างน้อย 51 กรณีในปีนี้ ซึ่งในขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียงสองสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายน กรณีเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดและยาวนานที่สุดในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970
ความรุนแรงบางกรณีกลายเป็นข่าวใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามลอบสังหารทรัมป์สอง เหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจอื่นๆ รวมถึงการยิงสามครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาที่สำนักงานรณรงค์หาเสียงของพรรคเดโมแครตสำหรับแฮร์ริสในรัฐแอริโซนา
อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ตั้งแต่ข้อพิพาทเรื่องการเลือกตั้งไปจนถึงสิทธิ LGBTQ+ และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เหตุการณ์มีตั้งแต่การทะเลาะวิวาทเล็กน้อยเรื่องป้ายการเมืองไปจนถึงการต่อสู้ที่รุนแรงมากขึ้นและการทำลายทรัพย์สินในการหาเสียง ความรุนแรงส่วนใหญ่ในปีนี้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต ยกเว้นระหว่างความพยายามลอบสังหารทรัมป์ในเดือนกรกฎาคม ที่มีผู้เสียชีวิตสองราย ได้แก่ ผู้เข้าร่วมรับฟังการหาเสียง และมือปืน
อัตราการเกิดเหตุการณ์รุนแรง คงที่อย่างน่าประหลาดใจนับตั้งแต่เริ่มเพิ่มขึ้นในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่ทรัมป์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ในปี 2021 ซึ่งรวมถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลังจากความพยายามของทรัมป์ในการพลิกผลการเลือกตั้งปี 2020 มีกรณีความรุนแรงทางการเมือง 93 กรณี ตามมาด้วย 79 กรณีในปี 2022 และ 76 กรณีในปี 2023
ผู้เชี่ยวชาญด้านลัทธิสุดโต่งทางการเมืองเตือนว่าบรรยากาศที่ตึงเครียดรอบการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ได้สร้างสถานการณ์ที่มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัมป์มักใช้วาทกรรมที่ปลุกเร้า ข่มขู่ว่าจะนำศัตรูทางการเมืองขึ้นศาล และจะส่งกองทัพเข้าปราบปราม “ฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง” โดยเรียกพวกเขาว่าเป็น “ศัตรูภายใน”
นีลิน พาร์คเกอร์ ผู้นำองค์กรไม่แสวงผลกำไร Common Ground USA ซึ่งศึกษาวิธีการลดความแตกแยกทางการเมืองและวัฒนธรรมของอเมริกา กล่าวว่า ชาวอเมริกันเริ่มมองว่าความรุนแรงเป็น “ส่วนหนึ่งของวิธีการทางการเมือง” เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ในบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจในปัจจุบัน “เหตุการณ์ความรุนแรงสามารถลุกลามเป็นสิ่งที่ใหญ่โตกว่าเดิมได้”
แม้ตัวทรัมป์เองก็ปฏิเสธที่จะตัดความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรงหากเขาพ่ายแพ้ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อนิตยสาร Time ถามในเดือนเมษายนว่าเขาคาดว่าจะมีความรุนแรงหลังการเลือกตั้งหรือไม่ เขาตอบว่า “ถ้าเราไม่ชนะ คุณก็รู้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์” เขาบอกกับผู้สนับสนุนว่าการพ่ายแพ้ใดๆ ในการแข่งขันปีนี้จะเป็นเพราะการโกงการเลือกตั้ง
หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้รับการเตือนให้ระวังความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรงตอบโต้จากผู้สนับสนุนทรัมป์ มีเหตุการณ์ที่น่ากังวลบางประการ รวมถึงชายในรัฐฟลอริดาที่บอกภรรยาว่าเขากำลัง “เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” หลังจากเหตุลอบยิงทรัมป์ และออกจากบ้านพร้อมปืนหลายกระบอก ตามรายงานของตำรวจ เขาถูกพบขณะกำลังฝังกล่องกระสุนเต็มกล่องในสวนสาธารณะ ตำรวจยึดปืนไรเฟิลและปืนพกได้เจ็ดกระบอก และส่งตัวชายคนดังกล่าวเข้ารับการประเมินสุขภาพจิต
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมืองของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยและกลุ่มวิจัยเอกชนหลายแห่งติดตามเรื่องนี้ในรูปแบบต่างๆ โดยทั่วไปใช้ฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นจากรายงานข่าว หรือการติดตามสำนวนคดีในศาล รวมอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่เกี่ยวพันกับประเด็นทางการเมือง เช่นความรุนแรงในฉนวนกาซา
———————————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : Post Today / วันที่เผยแพร่ 22 ต.ค.67
Link : https://www.posttoday.com/international-news/714824