ความล่มสลายของรัฐบาลประธานาธิบดี “Bashar al-Assad” แห่งซีเรีย…ว่าไปแล้วคงแทบไม่ต่างไปจากความพังพินาศของรัฐบาล “พันเอกMuhammar Gaddafi” แห่งลิเบียเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ เพียงแต่โชคดีอยู่หน่อย…ที่ตัวประธานาธิบดี “Assad” ยังพอหลบรอดหนีไปลี้ภัยอยู่ที่รัสเซียจนได้ ไม่ถึงกับถูกเสียบ ถูกฆ่า อย่างสุดแสนทรมานอย่างผู้นำลิเบีย และไม่ได้เครื่องบินตกเพราะถูกยิง อย่างที่สำนักข่าวตะวันตก “รอยเตอร์-รอยตีน” ได้ออกข่าว “Fakes News” ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ จนทำให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย คุณน้อง “Maria Zakharova” เธอเลยอดไม่ได้ต้องออกมาตำหนิติติง แบบชนิดตรงไป-ตรงมา…
แต่เอาเป็นว่า…ความพ่ายแพ้ของประธานาธิบดี “al-Assad” นั้น คงไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่าความหมดใจ ถอดใจ หรือความเหนื่อยแล้ว ไม่เอาแล้ว!!! หลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง แตกแยก ของผู้คนภายในประเทศ จนต้องเกิด “สงครามกลางเมือง” แบบยืดเยื้อ ยาวนานมากว่า 13 ปีเอาเลยถึงขั้นนั้น อีกทั้งโดยตัวของผู้นำซีเรียรายนี้ แต่แรกเริ่มเดิมทีท่านคงไม่คิดจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศที่ถูกฝ่ายตะวันตก “ขีดเส้นแผนที่” ให้ต้องขัดแย้งกับใครต่อใครมาโดยตลอด หรือตามแนวนโยบาย “แบ่งแยกและปกครอง” มาตั้งแต่แรกนั่นเอง คือท่านคิดจะหันไปเอาดีทางเป็นหมอ เป็นแพทย์ อะไรไปโน่น แต่เมื่อบิดาบังเกิดเกล้าอดีตประธานาธิบดี “Hafez al-Assad” เสียชีวิตลงไป และพี่ชายที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดอย่าง “Basil al-Assad” ดันมาตายตามไปด้วย ตัวเองเลยต้องตกกระไดพลอยโจนขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศซีเรียอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย…
ดังนั้น…เมื่อเจอกับความขัดแย้ง แตกแยก ทั้งภายใน-ภายนอกมาโดยตลอด อีกทั้งเห็นว่าภรรยาคู่ชีวิตผู้ร่วมทุกข์ ร่วมโศรกมาด้วยกัน อย่าง “นางAsma” ก็ดันมาป่วยเป็นมะเร็งซะอีกต่างหาก ไม่ว่าใครก็ใครเถอะ…คงแทบไม่เหลือ “พลังการต่อสู้” ใด ๆ ต่อไปอีกแล้ว รวมถึงบรรดาทวยทหารในกองทัพซีเรียที่หนักไปทางเผ่นหนีกันอุตลุด ถอดเสื้อ ถอดชุดทหาร แล้วจำแลงแปลงกายเป็นพลเรือน เพื่อรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีเอาไว้ก่อน ไม่ก็หนียะย่ายพ่ายจะแจเผ่นเข้าไปในพรมแดนอิรักนับพัน ๆ รายเอาเลยก็ว่าได้…
แต่ก็นั่นแหละ…ฉากเหตุการณ์เช่นนี้จะถือเป็น “ชัยชนะ-ความพ่ายแพ้” ของฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดแบบเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์ ก็คงลำบาก เพราะการโค่นล้มรัฐบาลและยึดประเทศซีเรียเอาไว้ได้ มันหนีไม่พ้นต้องอาศัยบทบาทของหลายฝ่ายต่อหลายฝ่ายจนแทบแยกไม่ออก-บอกไม่ถูก ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ใคร-เป็น-ใคร หรือไผ-เป็น-ไผ กันแน่!!! เพราะโดยส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยการสนับสนุนความช่วยเหลือ จาก “อิทธิพลภายนอก” ชนิดแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “เครื่องมือ” ของแต่ละประเทศไปด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ที่แม้การใช้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนเป็นเครื่องมือในการบั่นทอนทำลายศักยภาพของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซีย ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” จะไม่ถึงกับได้ผลตามที่ปรารถนาและต้องการ แต่การหันมาใช้พวก “ผู้ก่อการร้าย” อย่างกองกำลัง “HTS” หรือ “Hayat Tahrir al-Sham” คราวนี้ ต้องเรียกว่า…ถึงกับ “แจ็กพอต” แตกเอาง่าย ๆ…
แม้ว่าผู้นำกองกำลัง “HTS” อย่าง “นายAbu Mohammed al-Julani” นั้น ฝ่ายคุณพ่ออเมริกาเองนั่นแหละเคย “ตั้งค่าหัว” เอาไว้ในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการร้าย เป็นเงินถึง 10 ล้านดอลลาร์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 แต่เมื่อมาถึงจุดที่จะต้องเอาชนะคะคาน ต้องเพียรพยายามดำรงรักษาความเป็น “ประมุขโลก” ต่อไปให้จงได้ ก็คงแทบไม่ต้องสนใจว่า “อะไรดี-อะไรชั่ว” หรืออะไรก่อการร้าย-ไม่ก่อการร้ายต่อไปอีกแล้ว การส่งเสริม สนับสนุน ให้พวกอดีตองค์กรก่อการร้าย “Al-Queda” สาขาซีเรียรายนี้บุกยึดประเทศซีเรียได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ เลยเป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึง และน่า “อันตราย” เอามาก ๆ หรืออย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ท่านอดรนทนไม่ได้ ต้องออกมาเอ่ยปากเอาไว้ว่า… “การใช้ผู้ก่อการร้ายเป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์ของฝ่ายตะวันตกนั้น เป็นสิ่งที่มิอาจรับได้โดยเด็ดขาด!!!”…
อย่างไรก็ตาม…ดังที่ใครต่อใครเคยพูด ๆ เอาไว้นั่นแหละว่า สิ่งที่น่าจะยากลำบากซะยิ่งกว่าการ “ยึดอำนาจ” ก็คือการหาทาง “ดำรงรักษาอำนาจ” นั้น ๆ ต่อไปให้จงได้ การเคลื่อนกองกำลังผู้ก่อการร้ายจากฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายที่เมือง “Idlib” ที่มีผู้นำตุรกี-ตุรเคีย ประธานาธิบดี “Recep Tayyip Erdogan” ผู้ได้ชื่อประมาณว่า…ถ้าเจองูกับเจอ “Erdogan” ให้ตี “Erdogan” เอาไว้ก่อนนั่นแหละ ถึงจะปลอดภัยกว่า เป็นผู้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม “HTS” หรือ “SNA” (Syrian National Army) ด้วยการจำแลงแปลงกาย หรือการเรียกขานว่าเป็น “กบฏสายกลาง” (moderate rebels) จนสามารถบุกยึดเมือง Aleppo, Hama ไปจนถึงกรุง Damascus ได้อย่างรวดเร็วชนิดแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อ เอาไป-เอามาแล้ว…ต่างสะท้อนให้เห็นถึงรอยแตก รอยแยกระหว่างกองกำลังทั้งสอง โดยเฉพาะในระหว่างการเล่นงานกลุ่มกบฏชาว “Kurds” ที่คุณพ่ออเมริกาให้การสนับสนุนอยู่ทางด้านเหนือและตะวันออกของซีเรีย ด้วยกลุ่มทหารอเมริกันประมาณ 900 นาย ที่แอบไปขุดน้ำมัน ขายน้ำมัน อยู่ในดินแดนซีเรียอย่างชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก มาโดยตลอด…
การหา “จุดลงตัว” ระหว่างพวก “HTS” “SNA” และพวก “Kurds” ฯลฯ ที่ต่างออกไปทาง “สุดโต่ง” ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าโดยพฤติกรรมเช่นการฆ่า ข่มขืน การทรมานทรกรรมฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ หรือโดยแนวนโยบายที่ผิดแผกแตกต่างไปจากกันระหว่างพวก “เสรีนิยม” กับพวก “ศาสนานิยม” มันจึงไม่น่าจะใช่เรื่อง “ง่าย ๆ” สำหรับการดำรง รักษา “อำนาจ” ที่สามารถยึดเอาไว้ได้แล้ว ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึง “ผลประโยชน์” ของบรรดาประเทศที่เข้าไปสนับสนุน ช่วยเหลือ หรือใช้บรรดากลุ่มคนเหล่านี้เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าอเมริกา-อิสราเอล-หรือตุรเคีย ที่ต่างฝ่ายต่างก็มี “เป้าหมาย” ต่างไปจากกันและกันไม่มาก-ก็น้อย โอกาสที่ “ซีเรีย” จะค่อย ๆ กลายสภาพไปเป็น “ลิเบีย” จึงค่อนข้างจะมีความเป็นไปได้สูงเอามาก ๆ!!! คือกลายไปเป็น “อนาธิปไตย” ที่แทบไม่รู้ว่าใครใหญ่ ใครอยู่ ต่างฝ่ายต่างอาศัย “อำนาจ” เท่าที่ตัวเองมีอยู่ในมือ หรือที่ได้รับการสนับสนุน อุ้มชูจากผู้ที่ได้รับ “ผลประโยชน์” เป็นกอบ-เป็นกำ จนต้องย้อนยุคไปสู่ความเป็น “บ้านป่า-เมืองเถื่อน” เอาเลยถึงขั้นนั้น…
และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง…ที่ทำให้ “นักฉวยโอกาส” ที่สุดจะแสบสันเอามาก ๆ อย่างคุณปู่อิสราเอล เลยใช้เป็นเหตุผล ข้ออ้าง ในการเคลื่อนกำลังรถถังเข้าสู่ “เขตกันชน” (Buffer Zone) หรือที่เรียก ๆ ว่า “Quneitra area” บริเวณที่ราบสูงโกลัน ซึ่งเคยเป็นพื้นที่เป็นกลางโดยการยอมรับของสหประชาชาติ หรือถือโอกาส “ผนวกดินแดน” ให้เป็นของอิสราเอลไม่ต่างไปจากที่กำลังยึดพื้นที่ฉนวนกาซานั่นเอง ขณะที่ฝ่ายซึ่งเคยพยายามฟื้นฟูสันติภาพให้หวนคืนกลับมาในซีเรีย ไม่ว่าจะเป็นคุณน้ารัสเซีย หรือคุณปู่อิหร่าน มีแต่ต้อง “แบ๊ะ…แบ๊ะ…แบ๊ะ”
ไปตามสภาพ เพราะเพียงแค่การรักษาฐานทัพทางทหารของรัสเซียที่ “Khmeimim” และ “Tartus” ในดินแดนซีเรียให้ดำรงคงอยู่ต่อไปให้จงได้ ก็ยังเป็น “คำถาม” ตัวโต ๆ??? แม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย จะออกมายืนยันว่าบรรดาเรือรบของรัสเซีย ยังคงปฏิบัติการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยอาศัยฐานทัพเรือดังกล่าว ไปตามปกติก็ตาม…
แต่ที่น่าจะหนักสุด ๆ…คงหนีไม่พ้นไปจากคุณปู่อิหร่านนั่นแหละ แม้จะมีฐานบัญชาการทางทหารอยู่ในซีเรียถึง 177 แห่งน้อยกว่าฝ่ายตุรกี-ตุรเคีย ไม่เท่าไหร่ แต่การล่มสลายของรัฐบาล “al-Assad” น่าจะส่งผลให้กลุ่มพันธมิตรแห่งการต่อต้าน หรือ “Axis of Resistance” อันประกอบไปด้วยอิหร่าน-ซีเรีย-อิรัก-เยเมน-เลบานอน ต้องอ่อนระโหย โรยแรงกันไปมิใช่น้อยเส้นทางการส่งกำลังบำรุง ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จากอิหร่านไปยังพวก “Hezbollah” ในเลบานอน ถ้าหากไม่ถูกตัดขาดก็ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิม เพราะกระทั่งสถานกงสุลอิหร่านในเมือง “Aleppo” ยังถูกเผากันเห็น ๆ สถานทูตอิหร่านในกรุง “Damascus” ก็ถูกบุกปล้น รื้อข้าวของ ค้นหาความลับ ชนิดกระจุยกระจาย และถ้าหากพันธมิตรแห่งการต่อต้านในเลบานอนต้องหมดฤทธิ์ หมดเดชลงไปเมื่อไหร่ โอกาสที่ “ระบอบปกครองอิสลาม” ในอิหร่านจะต้องอ่อนเปลี้ยเพลียแรงตามไปด้วย จนอาจถึงขั้นเกิดการประท้วง จลาจล หรือ “การปฏิวัติสี” ขึ้นมาในประเทศอิหร่านเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย การดิ้นรนเพื่อหาทางรักษาอำนาจเท่าที่เหลืออยู่ ให้ดำรงคงอยู่ต่อไปให้จงได้ จึงเป็น “การบ้าน” สำคัญเอามากๆ สำหรับฉากสถานการณ์ใหม่ในตะวันออกกลาง หลังการล่มสลายของรัฐบาล “al-Assad”…
ความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนเพื่อลดความเสียเปรียบ-เพิ่มความได้เปรียบของบรรดาผู้ที่มีบทบาททั้งในประเทศและนอกประเทศซีเรียอันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงในดินแดนแห่งนี้นี่เอง ทำให้อดไม่ได้ที่จะหวนไปนึกถึงพื้นที่สถานที่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ ณ ระหว่างดินแดนซีเรียและภาคเหนือของอิสราเอล ที่เรียกกันในภาษาฮิบรูมาแต่โบร่ำโบราณว่า “Har Megiddo” หรือเนินเขา “Megiddo” ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการโดยอดีตกษัตริย์ “Ahab” ผู้ปกครองทุ่งราบ “Jezreel” มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เพื่อคุ้มครอง “ผลประโยชน์” หรือเส้นทางการค้าระหว่างอาณาจักรอียิปต์กับภาคเหนือซีเรีย และต่อไปยังที่ราบสูงอนาโตเลียในตุรกี ไปจนถึงอาณาจักรต่างๆ ในดินแดนเมโสโปเตเมีย จนก่อให้เกิดการปะทะ ขัดแย้ง การช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบ ด้วยการหาทางยึดพื้นที่แห่งนี้ ไม่ว่าโดยฟาโรห์อียิปต์ อย่าง “Thutmose ที่ 3” หรือ “Necho ที่ 2” หรือตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์ศักราช ไปจนถึงก่อน ค.ศ. 609 เอาเลยถึงขั้นนั้น…
จนทำให้นับแต่นั้นมา…ไม่ว่าในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเก่า หรือภาคพันธสัญญาใหม่ ต่างหยิบเอาความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ไปใช้เป็นตัววาดจินตนาการถึง “การปะทะครั้งใหญ่” หรือ “สงครามครั้งสุดท้าย” ของมวลมนุษยชาติ อันเนื่องมาจาก “ผีโสโครก 3 ตน” ได้ล่อลวงบรรดากษัตริย์ทั้งปวงทั่วพิภพ ให้ไปชุมนุมเพื่อทำศึกสงครามในวันอันยิ่งใหญ่แห่งพระผู้เป็นเจ้า ณ ตำบลแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันในภาษาฮิบรูว่า “อารมาเกดโดน” (Armageddon) หรือ “สงครามแห่งวันสิ้นยุค” นั่นเอง…
บทความโดย ทับทิม พญาไท
———————————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 12 ธ.ค.67
Link : https://mgronline.com/daily/detail/9670000119289