กูเกิล บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานในวันพุธว่า โมเดลปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ‘เจมิไน’ ของตน ถูกแฮกเกอร์จากหลายชาติ รวมถึงอิหร่าน จีน และเกาหลีเหนือ นำไปใช้เสริมเขี้ยวเล็บในหลายปฏิบัติการ
รายงานระบุว่าแฮกเกอร์ใช้เจมิไน ที่เป็นเอไอประเภทโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model หรือ LLM) และใช้งานได้ในทางสาธารณะ อำนวยความสะดวกในการโจมตีและจารกรรมที่รัฐสนับสนุน ไปจนถึงทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operations หรือ IO)
LLM คือผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ที่ฝึกฝนและเรียนรู้ภาษามนุษย์จากชุดข้อมูลจำนวนมหาศาลที่มีมาในอดีต ในกรณีเจมิไน ที่เป็น Generative AI ซึ่งสามารถสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาจากข้อมูลเดิม ทำให้เหล่าแฮกเกอร์ใช้มันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติการทางไซเบอร์ของตน
รายงานที่ออกมาจากกลุ่มทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของกูเกิล หรือ Google Threat Intelligence Group นี้ พบว่าปัญญาประดิษฐ์ที่มีในปัจจุบันเพียงแค่ทำให้แฮกเกอร์ทำงานแบบเดิมได้รวดเร็วขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็คาดว่าเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ได้ในอนาคต
ข้อค้นพบข้างต้นคล้ายคลึงกับงานวิจัยจากผู้เล่นในอุตสาหกรรมเอไอรายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่นโอเพ่นเอไอ (OpenAI) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้
สารพัดการใช้งาน ตั้งแต่หาข้อมูล – ส่งสายลับ
รายงานนี้แบ่งลักษณะการแฮกเป็นสองประเภท ได้แก่ การจารกรรมข้อมูลและการจู่โจมทำลายเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยมีรัฐให้การสนับสนุน (Advanced persistent threat หรือ APT) อีกประเภทหนึ่งคือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) คือการพยายามแบบลับ ๆ หรือสอดประสานกัน เพื่อปลุกปั่นหรือโน้มน้าวจิตใจของผู้ท่องโลกออนไลน์
กูเกิลพบว่าแฮกเกอร์จากอิหร่านคือผู้ใช้งานเจมิไนมากที่สุด ทั้งใช้แปลภาษาเพื่อทำเนื้อหาโน้มน้าวความเห็นบนโลกออนไลน์ ไปจนถึงค้นหาข้อมูลและจุดอ่อนของบุคคลหรือองค์กรต่าง ๆ ที่เป็นเป้าหมาย
ส่วนจีนนั้น มีการค้นพบผู้ใช้งานที่รัฐสนับสนุนมากกว่า 20 ตัวแสดง โดยใช้เจมิไนเพื่อค้นคว้าข้อมูล สำรวจรายละเอียดของเป้าหมาย และพยายามใช้ผลิตภัณฑ์นี้หาทางขยายผล เจาะลึกลงไปในโครงข่ายที่เคยแฮกได้แล้วในขั้นต้น
ส่วนลักษณะการใช้งานจากรัฐบาลเกาหลีเหนือนั้นคล้ายคลึงกับรัฐบาลเตหะรานและปักกิ่ง แต่ที่ต่างออกไปคือ รัฐบาลเปียงยางใช้เจมิไนเพื่อหาทางนำคนของตนเข้าไปทำงานในบริษัทตะวันตกเพื่อภารกิจลักขโมยทรัพย์สินทางปัญญา
รัสเซียถูกกล่าวถึงในรายงานชิ้นนี้ ในฐานะผู้ใช้งานเจมิไนเพื่อสร้างเนื้อหา ไปจนถึงศึกษาวิธีการสร้างและใช้งานโปรแกรมเอไอโต้ตอบ หรือแชทบอต
อดัม เซกัล ผู้อำนวยการด้านนโยบายดิจิทัลและพื้นที่ไซเบอร์จากสถาบันคลังความคิด Council on Foreign Relations กล่าวกับวีโอเอว่า เอไอในปัจจุบันเพียงแค่ช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่ “ตัวพลิกเกม” ในการจู่โจมเป้าหมาย
แคเล็บ วิเธอร์ส นักวิจัยจากศูนย์ความมั่นคงใหม่อเมริกัน (Center for a New American Security) กล่าวว่า ท้ายที่สุด พัฒนาการของเทคโนโลยีเอไอจะเป็นปัจจัยช่วยเหลือทั้งสำหรับคนที่จ้องจะแฮก และคนที่ทำหน้าที่ป้องกันการคุกคามไซเบอร์
เขากล่าวว่า “ถ้าคนจู่โจมสามารถใช้อะไรสักอย่างเพื่อค้นหาจุดอ่อนในซอฟต์แวร์ได้ เครื่องมือนั้นก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ตั้งรับในการไปหา (จุดอ่อน) นั้นแล้วก็อุดช่องโหว่เอง”
ในวันพุธ เคนท์ วอล์คเกอร์ ประธานด้านกิจการโลกของกูเกิลและบริษัทในเครือ แอลฟาเบต เรียกร้องวงการปัญญาประดิษฐ์และรัฐบาลกลางสหรัฐฯ “ทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนความมั่นคงแห่งชาติและเศรษฐกิจของเรา” และหาทางคงความได้เปรียบคู่แข่งในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี
เขาเขียนในบล็อกของบริษัทว่า “อเมริกายังนำอยู่ในสนามแข่งเอไอ แต่ความได้เปรียบของเราอาจไม่ยืนยง”
ที่มา: วีโอเอ
————————————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : VOA Thai / วันที่เผยแพร่ 31 มกราคม 2568
Link : https://www.voathai.com/a/generative-ai-makes-chinese-iranian-hackers-more-efficient-report-says/7957520.html