การผงาดขึ้นมาของ DeepSeek AI จีนที่เป็นกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในตอนนี้ ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก แต่ยังมาในจังหวะที่สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนรัฐบาลพอดี เสมือนเป็นการ ‘สะบัดหาง’ ครั้งสำคัญของปีงูเล็กเลยกว่าว่าได้ และอาจมีผลกระทบในวงกว้างอีกด้วย
ผมมองว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเปิดอย่างน้อย 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ จึงอยากลองแชร์ไว้เผื่อไปช่วยคิดและติดตามกันต่อครับ
1. จีน vs. สหรัฐฯ
การมาของ DeepSeek ตั้งคำถามว่าเทคโนโลยี AI ของสหรัฐฯ ยังนำโลกอยู่จริงหรือไม่ หรือจีนสามารถวิ่งไล่กวดได้แล้ว แม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐฯ และพันธมิตร
และหากไล่กวดได้จริงตามตัวเลขการทดสอบความสามารถ AI ต่างๆ ที่ออกมา ต่อไปสหรัฐฯ จะตอบโต้อย่างไร:
-
- จะเพิ่มความเข้มข้นของสงครามการค้า-เทคโนโลยี เพื่อให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ได้ยากขึ้นไปอีกหรือไม่ และ/หรือ
-
- จะทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมกับโครงการ AI ขนาดยักษ์อย่าง Stargate ซึ่งมูลค่าที่ประกาศเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ
แต่ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่า เพราะไปจำกัดการเข้าถึงชิปของจีนนี่แหละ เลยทำให้เขาต้องคิดค้นวิธีใหม่ที่สร้าง AI ได้ประหยัดกว่าเดิม ทำให้ ‘กันดารกลายเป็นสินทรัพย์’
2. ความสิ้นเปลืองทรัพยากร
การที่ DeepSeek ใช้เงินในการพัฒนา AI น้อยกว่าบริษัทเทคโนโลยีดังๆ ของสหรัฐฯ ประมาณ 20-30 เท่า และใช้ชิปที่ไม่ได้ ‘ทรงพลัง’ เท่า (มีคนบอกว่าชิปที่พวกเขาใช้ แค่นักเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ยังมีใช้เลย) ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคโนโลยีว่า “เอ๊ะ ที่เราลงทุนไปหลายพันล้านเพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุดนี่ จริงๆ แล้วมันจำเป็นหรือเปล่า”
สรุปเราจ่ายไปเพื่อซื้อ ‘เนื้อ’ หรือ ‘ไขมัน’ กันแน่? หรือว่า:
-
- อาจไม่ใช้เงินมากขนาดนั้น
-
- ไม่ต้องใช้ชิปทรงพลังขนาดนั้น
-
- อาจไม่ต้องใช้พลังงานหนักขนาดนั้น
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นวงการเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตื่นตระหนกตกใจร่วงกันเป็นแถวเมื่อวานนี้
3. โมเดลแบบเปิด vs. ปิด
คนส่วนใหญ่อาจมองเป็นสงคราม AI ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยี อีกศึกที่คุกรุ่นมานานคือระหว่างโมเดลแบบเปิด (Open Source) ที่เสมือนเปิด ‘สูตรลับ’ หรือ โค้ดให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้ กับโมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT
Deepseek คือโมเดลแบบเปิด จึงทำให้เกิดคำถามว่า โมเดลแบบเปิดนี้เจ๋งจนไล่กวดโมเดลแบบปิดที่ซ่อนสูตรลับของตัวเองแล้วหรือ?
นึกภาพว่าหากร้านอาหารที่อร่อยมากๆ เปิดสูตรให้คนเอาไปทำที่บ้าน แล้วทำออกมาอร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆ ที่เก็บสูตรเป็นความลับ ต่อไปใครจะอยากไปจ่ายแพงเพื่อกินที่ร้าน
แต่ก็มีคำถามต่อไปอีกว่า แล้วต่อไป DeepSeek จะยังเปิดสูตรตัวเองไปเรื่อยๆ แบบนี้หรือไม่ หรือวันดีคืนดีก็จะปิดและเก็บตังค์ค่าใช้แพงๆ และ/หรือจะเอาข้อมูลของ User ไปใช้อย่างไร เพราะบางคนก็ห่วงเรื่อง Data Governance
4. ผู้นำ-ผู้ตาม
DeepSeek ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่าๆ เท่านั้นในการพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยเทรนโมเดลของตนเองด้วย เสมือน OpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกแทบตายกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่ แต่พอนักเรียนมาเลียน/เรียนต่อแป๊บเดียว สามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้ (ภาษานักลงทุนคือ Moat หรือคูเมืองป้องกันปราสาทเรา มันไม่ได้ข้ามยากเท่าที่คิด) จึงทำให้เกิดคำถามว่า ในวงการ AI ผู้นำได้เปรียบมากจริงหรือไม่ หากผู้ตามสามารถตามได้เร็วขนาดนี้และยังทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก แบบนี้ยังคุ้มที่จะลงทุนพัฒนาเพื่อเป็นผู้นำ ‘บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ๆ’ หรือไม่
เพราะผู้นำด้าน AI อาจถูกดิสรัปต์ง่ายกว่าที่คิด
5. อนาคตของ AI
ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับ AI คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน
-
- ต้นทุนพัฒนา AI ถูกลง ทำให้ค่าบริการถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น
-
- AI อาจสามารถใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
-
- โมเดลแบบเปิดอาจทำให้คนเก่งๆ ทั่วโลกสามารถศึกษาและเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ สร้าง AI ที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทของสังคมตนเอง
-
- การพัฒนา AI อาจมีการแข่งขันมากขึ้น Generative AI กลายเป็น ‘เทคโนโลยีโหลๆ’ ขึ้น ผลักดันให้หลายเจ้าอาจต้องหามุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวอื่นมากขึ้น คิดเรื่องแอปพลิเคชันมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มเงินสร้างมันสมองที่ฉลาดอย่างเดียว จึงอาจทำให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายขึ้น
ในทางกลับกัน การที่แต่ละประเทศต่างแข่งกันสร้างสุดยอด AI อาจทำให้ต่างลดความสำคัญด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ทำให้ยิ่งมีโอกาสเกิด AI แบบอันตรายต่อสังคมขึ้นหรือไม่
แน่นอนว่าเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ DeepSeek อีกมาก และเป็นไปได้ว่าต่อไปอาจมีการหักมุมจากผู้เล่นอื่นอีกที่ไม่ใช่ DeepSeek เลยก็เป็นได้
แต่อย่างน้อยก็คิดว่า 5 ประเด็นนี้คือคำถามที่เราควรตั้งและช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิด กับเทคโนโลยีที่มีโอกาสเปลี่ยนโลกและกระทบเราทุกคนในอนาคตครับ
—————————————————————————————————————————-
ที่มา :the standard / วันที่เผยแพร่ 29 ม.ค. 68
Link : https://thestandard.co/deepseek-ai-china-5-impacts/