ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไฟเขียวแล้ว สำหรับร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ตามที่กระทรวงดีอีเสนอให้แก้ไขอย่างเร่งด่วน เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่เลื่อนการพิจารณาเข้าที่ประชุม ครม.ไปแล้ว 2 ครั้ง
ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องมีการแก้ไขร่าง พ.ร.ก.เดิม เนื่องจากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ยังขาดอำนาจหน้าที่และการกำหนดโทษหลาย ๆ ประเด็น โดยเฉพาะอำนาจการดำเนินการกับบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม , อำนาจการคืนเงินให้กับประชาชน, และการรับผิดร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
ส่งผลให้ประชาชนยังได้รับความเสียหายจากภัยการเงินเฉลี่ยต่อวัน 60 – 70 ล้านบาท โดยก่อนการดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ประเสริฐ จันทรรวงทอง อยู่ที่ 100 – 120 ล้านบาทต่อวัน
ล่าสุด รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงิน เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวและจะมีการประกาศกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่สถาบันการเงินพึงปฏิบัติให้ชัดเจน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
Thairath Money สรุปสาระสำคัญร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีใหม่ พ.ศ. 2566 มีขอบเขตหน้าที่และบทลงโทษอะไรบ้าง หน่วยงานไหนต้องร่วมรับผิดชอบ
พ.ร.ก.ไซเบอร์ เพิ่มบทลงโทษแบงก์-ค่ายมือถือ เร่งคืนเงินผู้เสียหาย
ร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.ไซเบอร์ 2566 มีการเพิ่มมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ ดังนี้
1. ห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending (P2P) โดยห้ามให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัล เพื่อการใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์ และให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ปฏิเสธการเปิดบัญชี และระงับการให้บริการ หรือการทำธุรกรรมกับลูกค้าที่มีรายชื่อหรือใช้กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ลดปัญหาการฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล)
2. เพิ่มหน้าที่ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือชั่วคราวเมื่อพบเหตุอันควรสงสัย
3. เพิ่มบทลงโทษให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือสื่อสังคมออนไลน์มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หากหน่วยงานดังกล่าวไม่ได้ใช้ความระมัดระวังที่พึงปฏิบัติในวิชาชีพ
4. เพิ่มอำนาจให้คณะกรรมการธุรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้พิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย โดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งถึงที่สุดก่อน เพื่อลดขั้นตอนทำให้กระบวนการคืนเงินเร็วขึ้น
ความแตกต่างระหว่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ ปี 2566
1. ไม่กำหนดหน้าที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม P2P ปฏิเสธการเปิดบัญชี และระงับการให้บริการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด รวมถึงบทลงโทษหากละเลยการปฏิบัติหน้าที่
2. ไม่กำหนดหน้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือต้องระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด แต่กำหนดให้มีการเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้งานกับสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้ พ.ร.ก.
3. ไม่มีบทลงโทษสำหรับธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของคนร้าย
4. ไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล แต่มีบทลงโทษสำหรับเจ้าของบัญชีม้าและนายหน้าจัดหาบัญชีม้า
5. ไม่มีบทลงโทษให้สถาบันทางการเงิน เครือข่ายมือถือ สื่อสังคมออนไลน์มีส่วนรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้หลังจากที่ ครม. อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงดีอีเสนอ จะส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาปรับรูปแบบร่าง พ.ร.ก. โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปประกอบการพิจารณา หลัง ครม. เห็นชอบ และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจะมีผลบังคับใช้ทันที โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน คาดว่าประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก. ดังกล่าวได้ในเดือนกุมภาพันธ์
——————————————————————————————————————–
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 30 ม.ค. 68
Link : https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2838876