“อุยกูร์” ชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าลึกในเอเชียกลาง ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลัง “ซินเจียง” ถูกรวมเข้ากับจีน ทั้งนโยบายควบคุมประชากร ศาสนา อัตลักษณ์ จุดชนวนความขัดแย้ง ที่นานาชาติต่างร่วมประณามนี่คือการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม”
ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าเร่ร่อนในแถบเอเชียกลางที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าตุรกีโบราณ ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบเอเชียกลาง พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าซงหนู (Xiongnu) และเผ่าตูเจวี๋ย (Tujue) ซึ่งเคยมีอิทธิพลในบริเวณที่ราบสูงมองโกเลียและทะเลทรายทากลามากัน
ในช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์ได้สถาปนาอาณาจักรของตนเองที่เรียกว่า “อุยกูร์คานาเต” (Uyghur Khaganate) ซึ่งปกครองพื้นที่กว้างขวางและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอุยกูร์ล่มสลายในศตวรรษที่ 9 หลังจากถูกกองกำลังคีร์กีซโจมตี ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากต้องอพยพลงใต้สู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือ “เขตปกครองตนเองซินเจียง” ของจีน
หลังจากการอพยพ ชาวอุยกูร์ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ใน “ซินเจียง” และกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม พวกเขาค้าขายกับชาวเปอร์เซีย อาหรับ และจีน ทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม
ในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวอุยกูร์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามที่แพร่หลายแทนที่ศาสนาเทียนไถและศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของอุยกูร์เริ่มแยกออกจากวัฒนธรรมของจีนและกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง โดยมีภาษาอุยกูร์ที่ใช้ตัวอักษรอาหรับและมีวรรณกรรม ศิลปะ และดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
“ซินเจียง” บ้านของอุยกูร์ที่ถูกเปลี่ยนแปลง
ดินแดนซินเจียง หรือชื่อเต็มว่า “เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์” ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร และเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปี มีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู
ในปี 1759 ราชวงศ์ชิงได้เข้ายึดครองซินเจียงและกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีน การปกครองของจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างหลวม ๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนเริ่มใช้นโยบายรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น
หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสาธารณรัฐ ชาวอุยกูร์เคยประกาศตั้งรัฐอิสระของตนเอง 2 ครั้ง ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกีตะวันออก ครั้งที่หนึ่งในปี 1933 และ ครั้งที่สองในปี 1944 อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รัฐ ถูกกองทัพจีนเข้าปราบปราม
ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและได้ผนวกซินเจียงเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างสมบูรณ์ โดยกำหนดให้เป็น “เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์” ซึ่งแม้จะมีสถานะปกครองตนเอง แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง
แม้ซินเจียงจะถูกกำหนดให้เป็น “เขตปกครองตนเอง” แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลจีนมีการควบคุมพื้นที่นี้อย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการก่อการร้ายหลายครั้ง ซึ่งจีนมองว่ามีชาวอุยกูร์หัวรุนแรงเป็นผู้กระทำ
ยุคใหม่ คำพูดในป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาของอุยกูร์และจีน
“จีน” ควบคุมประชากร-ศาสนา “อุยกูร์”
หนึ่งในนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวอุยกูร์มากที่สุด คือการส่งเสริมให้ชาวฮั่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของจีน อพยพเข้ามาในซินเจียงผ่านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของรัฐบาลจีน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สัดส่วนประชากรของชาวฮั่นในซินเจียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เคยเป็นชนกลุ่มน้อยได้กลายเป็นกลุ่มประชากรหลักในหลายเมืองใหญ่ เช่น อูรูมชีและคัชการ์ ทำให้ชาวอุยกูร์ดั้งเดิมเริ่มสูญเสียอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมของตน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการควบคุมประชากรในหมู่ชาวอุยกูร์ เช่น การทำหมันและการคุมกำเนิดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้หญิงชาวอุยกูร์ ซึ่งทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่า จีนกำลังพยายามลดจำนวนประชากรของชาวอุยกูร์ในระยะยาว
นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรแล้ว รัฐบาลจีนยังดำเนินนโยบายควบคุมศาสนาอย่างเข้มงวด โดยจำกัดกิจกรรมทางศาสนา เช่น ห้ามเยาวชนเรียนศาสนาอิสลาม ห้ามถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และมีการควบคุมเนื้อหาของคุตบะห์ (คำเทศนาในศาสนาอิสลาม) ในมัสยิด การกวาดล้างวัฒนธรรมอุยกูร์ยังรวมถึงการรื้อถอนมัสยิดบางแห่งและการควบคุมการใช้ภาษาอุยกูร์ในระบบการศึกษา
“จีน” ปรับทัศนคติ “อุยกูร์”
หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลในระดับนานาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ของชาวอุยกูร์คือ ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ ใน “ค่ายปรับทัศนคติ” ซึ่งเชื่อว่ามีชาวอุยกูร์มากกว่า 1,000,000 คนถูกควบคุมตัว รัฐบาลจีนระบุว่าค่ายเหล่านี้เป็น “ศูนย์ฝึกอาชีพ” ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์พัฒนาทักษะในการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยจากซินเจียงให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป โดยอ้างว่าผู้ถูกกักขังต้องเผชิญกับการล้างสมอง การทรมาน และการบังคับใช้แรงงาน
นอกจากการควบคุมตัวแล้ว รัฐบาลจีนยังมีการสอดส่องชาวอุยกูร์ที่อยู่ภายนอกค่ายอย่างเข้มงวด เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ระบบตรวจสอบการสื่อสาร และด่านตรวจที่แพร่หลาย เรียกว่าทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์เต็มไปด้วยการถูกติดตามและควบคุม
ต่างชาติประณาม “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม”
บทความจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) มีหลักฐานว่า แรงงานชาวอุยกูร์จำนวนมากถูกส่งไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ ทั่วประเทศจีนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม หลายบริษัทข้ามชาติถูกตั้งคำถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฝ้ายและสิ่งทอ เนื่องจากซินเจียงเป็นแหล่งผลิตฝ้ายรายใหญ่ของโลก
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้า ที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับจากซินเจียง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานในจีน ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและแรงงาน
การปราบปรามชาวอุยกูร์ในซินเจียงได้รับความสนใจจากนานาชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2021 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าการกระทำของจีนในซินเจียงเข้าข่าย “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม” ขณะที่หลายประเทศในยุโรปและองค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้มีการสอบสวนและคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมด โดยยืนยันว่าค่ายกักกันเป็นเพียง “ศูนย์ฝึกอาชีพ” ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์มีงานทำและป้องกันการก่อการร้าย จีนยังได้พยายามควบคุมการสื่อสารเกี่ยวกับซินเจียงในระดับนานาชาติ เช่น การกดดันบริษัทต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของตน และการใช้สื่อของรัฐเผยแพร่ข้อมูลเพื่อแก้ต่างให้กับรัฐบาล
ปัจจุบันซินเจียงมีความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจเติบโต รุ่งเรืองทางวัฒนธรรม และศาสนามีความสามัคคี ประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในซินเจียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สงบสุข และมีความสุข
ความตอนหนึ่งในเอกสาร 131 หน้าที่คณะผู้แทนจีนประจำสหประชาชาติ ได้ตอบโต้คำกล่าวหาของหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเมื่อปี 2022
ประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ศาสนา และการเมืองในซินเจียง พวกเขามีรากเหง้ามายาวนานในเอเชียกลางและเคยมีอาณาจักรของตนเอง ก่อนจะถูกรวมเข้ากับจีนและต้องเผชิญกับนโยบายที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของพวกเขา
และสถานการณ์ในซินเจียงยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตก
และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคตอันใกล้
ที่มา : www.cfr.org, www.hrw.org, www.bbc.com
————————————————————————————————————————————–
ที่มา : THAI PBS / วันที่เผยแพร่ 27 กุมภาพันธ์ 2568
Link : https://www.thaipbs.or.th/news/content/349716