กระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศทั่วโลก ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างหันมาเร่งพัฒนายนตรกรรมไร้มลพิษ (ZEV)
แม้ว่ารถ FCEV จะมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่ายานยนต์ประเภทอื่น ๆ ในหลายด้าน แต่การที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงตั้งไข่ (Early stage) ทำให้ระดับความสนใจและการเปิดรับจากฝั่งผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ โดยยอดขายรถ FCEV ทั่วโลกในปี 2024 คาดว่าจะอยู่ที่เพียง 2 หมื่นคัน[3] หรือคิดเป็นเพียง 0.02% ของยอดขายรถทั้งหมด นอกจากนี้ ตลาด FCEV ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันกับอุตสาหกรรม BEV ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยม จากผู้บริโภคในวงกว้าง จากตัวเลือกในตลาดที่หลากหลาย ทั้งระดับราคา รูปลักษณ์ และค่ายผู้ผลิต กอปรกับโครงสร้างพื้นฐาน EV ที่มีความพร้อมและครอบคลุมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ SCB EIC จึงประเมินว่า อุตสาหกรรม FCEV จะยังไม่สามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์โลกภายใน 5-10 ปีนี้ เนื่องจากผู้ผลิตยังต้องมุ่งพัฒนา องค์ความรู้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ควบคู่กับการกระตุ้นให้ภาครัฐและเอกชนหันมาสนใจลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับกระบวนการผลิต ขนส่ง และการกักเก็บไฮโดรเจนและเซลล์เชื้อเพลิง
สำหรับประเทศไทย พัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฮโดรเจนยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเช่นเดียวกับตลาดโลก ซึ่งเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการศึกษา วิจัย และการเสริมสร้างระบบนิเวศ FCEV โดย EEC ได้ตั้งเป้าหมายระยะสั้นระหว่างปี 2024 – 2026 ในการดึงดูดเงินลงทุนกว่า 400,000 ล้านบาท ให้เกิดขึ้น ภายใต้อุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green Industry) และคาดว่าพันธมิตรหลักจะมาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมี ความล้ำสมัยในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ธุรกิจในประเทศไทยก็ได้ใช้พื้นที่ EEC เป็นศูนย์กลางสำหรับการทดลองเทคโนโลยีไฮโดรเจนในภาคขนส่ง อาทิ โตโยต้า มอเตอร์ ได้นำรถบรรทุกและรถบัส FCEV มาทดลองใช้งานจริงเพื่อศึกษาแนวทางลดต้นทุนโลจิสติกส์ ขณะเดียวกัน ปตท. ก็ได้ริเริ่มจัดตั้งต้นแบบปั๊มไฮโดรเจน เพื่อพัฒนา
การออกแบบสถานีบริการเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพและครบวงจร ทั้งนี้การผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ FCEV ของไทยเติบโตได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน จำเป็นต้องมีการเพิ่มความเข้มข้นของแนวนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นไปที่พลังงานไฮโดรเจนอย่างเจาะจง อาทิ 1) กำหนดเป้าหมายและวงเงินอุดหนุนการผลิตและใช้งาน FCEV ในประเทศภายใต้แผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า 2) บูรณาการไฮโดรเจนเข้ากับแผนพลังงานของประเทศ (PDP) และ 3) สร้างความร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม ASEAN ในการริเริ่มตลาดไฮโดรเจนระดับภูมิภาคและร่วมกันพัฒนาระบบนิเวศ FCEV อนึ่ง การปรับเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความชัดเจนในการสนับสนุนเชิงโครงสร้างพื้นฐานและเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะส่งเสริมให้ภาคธุรกิจและประชาชนเกิดความตื่นตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยคงบทบาทในฐานะหนึ่งในประเทศผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกไว้ได้ต่อไป ท่ามกลางนวัตกรรมยานยนต์ในอนาคตซึ่งจะมีความก้าวหน้าและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
ระบบสันดาป ไฮบริด ไฟฟ้าล้วน หรือพลังงานไฮโดรเจน
———————-
[1] ผู้ผลิตยานยนต์เชิงพาณิชย์ที่เริ่มพัฒนา FCEV ในกลุ่มรถบรรทุก อาทิ TOYOTA, HYUNDAI, Daimler Trucks และ General Motors เป็นต้น
[2] อ้างอิงขอมูลจาก EV and FCEV market analyses (BNEF) และ FCEV development and hydrogen costs (IEA)
[3] อ้างอิงข้อมูลประมาณการจาก SNE Research และ S&P Global ณ ม.ค. 2025
By ฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) eic@scb.co.th | SCB EIC Online: www.scbeic.com
——————————————————————————————————–
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 4 กุมภาพันธ์ 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1165139