นายโรเนน บาร์ หัวหน้าหน่วยชินเบต หน่วยข่าวกรองภายในประเทศของอิสราเอล (แฟ้มภาพเอพี)
นายกฯอิสราเอล เตรียมปลดหน.หน่วยข่าวกรองชินเบต อ้างไม่เชื่อมั่นอีกต่อไป
หลังจากวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของหน่วยงานนี้มาเป็นเวลานานนับจากเกิดเหตุกลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอล ล่าสุด นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ประกาศว่าจะทำการปลดนายโรเนน บาร์ หัวหน้าชินเบต หน่วยข่าวกรองภายในประเทศของอิสราเอลออกจากตำแหน่ง โดยสำนักงานนายกรัฐมนตรีอิสราเอลแถลงเมื่อวันที่ 16 มีนาคมว่า นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูได้แจ้งกับนายบาร์แล้วว่าจะนำเรื่องเสนอรัฐบาลภายในสัปดาห์นี้ให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง
นายเนทันยาฮูเชื่อมั่นว่าเขาจะได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จากรัฐบาลในการปลดนายบาร์ออกจากตำแหน่ง โดยนายเนทันยาฮูกล่าวว่าเขาได้สูญเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในตัวหัวหน้าหน่วยข่าวกรองภายในประเทศผู้นี้มานานแล้ว และว่า การปลดนายบาร์ออกจากตำแหน่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมายของอิสราเอลในฉนวนกาซาและในการป้องกันหายนะที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
ด้านนายบาร์กล่าวโต้ว่าเขาตั้งใจที่จะทำหน้าที่บางประการให้ลุล่วงก่อนที่จะลงจากตำแหน่ง และว่า หน้าที่ของความไว้วางใจที่ผู้นำของชินเบตต้องมีคือความไว้วางใจของประชาชนชาวอิสราเอล แนวคิดนี้เป็นรากฐานของการกระทำและการตัดสินใจทั้งหมดของเขา นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าความคาดหวังของนายกรัฐมนตรีในเรื่องของความไว้วางใจส่วนบุคคลนั้นขัดแย้งกับผลประโยชน์สาธารณะ
การตัดสินใจที่จะปลดหัวหน้าหน่วยชินเบตครั้งนี้ของนายเนทันยาฮูจะตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะที่อิสราเอลยังมีโอกาสที่จะกลับมาสู้รบรุนแรงในฉนวนกาซาอีกครั้งที่ยังคงมีตัวประกันชาวอิสราเอลจำนวนมากถูกคุมขังอยู่ที่นั่น
ที่ผ่านมานายเนทันยาฮูได้วิจารณ์การทำงานของหน่วยชินเบตซึ่งยังมีบทบาทในการต่อต้านการก่อการร้ายและรักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลมาโดยตลอด โดยเฉพาะการตำหนิถึงความบกพร่องล้มเหลวด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัย จนนำมาสู่การบุกเข้ามาโจมตีในดินแดนอิสราเอลได้อย่างย่ามใจของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปี 2023 และสังหารชีวิตผู้คนในอิสราเอลไปมากกว่า 1,200 ราย จนเป็นเหตุให้อิสราเอลเอาคืนด้วยการบุกทำสงครามกวาดล้างกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาที่ยังคงยืดเยื้อถึงวันนี้
———————————————————————————————————————————————
ที่มา : สำนักข่าวมติชนออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 17 มีนาคม 2568
Link : https://www.matichon.co.th/foreign/news_5095974