ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
แม้ว่าจุดร้อนแรงของสงครามจะอยู่ที่ตะวันออกกลาง เมื่ออิสราเอลเปิดฉากโจมตีกาซาครั้งใหญ่ แม้ในช่วงที่กำลังมีการเจรจาหยุดยิง โดยมีสหรัฐฯเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะมีผลทำให้การหยุดยิงต้องพังทลายลง และถ้าสหรัฐฯยังไม่สามารถหยุดยื้อเนทันยาฮู ในการก่อการร้ายได้ สงครามคงยืดเยื้อบานปลายไปสู่การโจมตีอิหร่าน โดยฝ่ายเนทันยาฮู จะพยายามชักจูงให้ทรัมป์เข้าร่วมปฏิบัติการ ทั้งๆที่อิหร่านมิได้เป็นภัยคุกคามสหรัฐฯเลย แต่เป็นภัยคุกคามอิสราเอลในประเด็นนี้จึงชี้ชัดได้ว่าสหรัฐฯมิได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯตามคำขวัญของทรัมป์ America First แต่กลายเป็น Israel First
ในอีกสมรภูมิขณะที่ทรัมป์มีแนวทางที่จะถอนตัวจากความขัดแย้งในยุโรป โดยเฉพาะต้องการยุติความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย นับเป็นแนวทาง American First โดยแท้จริง
ทั้งนี้เพราะทรัมป์ตระหนักว่าสหรัฐฯ ไม่อาจเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งใน 3 สมรภูมิ คือ ยุโรป ตะวันออกกลาง และจีนได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ในทางยุทธศาสตร์พบว่า จีนคือภัยคุกคามอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ทั้งในแง่การทหาร เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ส่วนรัสเซียเป็นเพียงภัยคุกคามทางทหารในระยะสั้น จึงตัดสินใจถอนกำลังและการสนับสนุนทางการเงินและอาวุธ อันเป็นการถอนทางยุทธศาสตร์ เพื่อนำเอาสรรพกำลังไปเสริมสร้าง ความเข้มแข็งด้านสนามหลังบ้าน คือ ลาตินอเมริกา และอีกส่วน คือ การปิดล้อมจีนที่สหรัฐฯ ถือเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อสหรัฐฯต้องถอนตัวจากยุโรปอันเป็นการถอยทางยุทธศาสตร์ก็มิได้หมายความว่า สหรัฐฯจะไม่สนใจสถานการณ์ในด้านนี้ ในทางตรงข้ามสหรัฐฯจะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะถ้าเกิดสงครามระหว่างยุโรปกับรัสเซีย ซึ่งมีความเป็นไปได้ สหรัฐฯก็จะเฝ้ารอให้อ่อนเปลี้ยทั้ง 2 ฝ่าย แล้วเข้าร่วมในสงครามในฐานะผู้ชนะ ซึ่งแน่นอนสหรัฐฯ ก็จะต้องอยู่ข้างยุโรป ตามความสัมพันธ์แองโกล-อเมริกัน และนี่อาจเป็นเหตุให้นายเปสคอฟ ปรารภกับสื่อในมอสโกว่า “รัสเซียยังไม่ถือว่าสหรัฐฯเป็นประเทศที่ Friendly” เพราะนายปูตินยังจำได้ดีถึงบทบาทของสหรัฐฯในสงครามโลกครั้งที่ 2
ทีนี้มาเจาะพิจารณาบางประเทศในยุโรปทั้งในยุโรปตะวันตก และยุโรปตะวันออก ที่เกิดความปั่นป่วน วิตกกังวล และเกิดความวุ่นวายหรือเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศเมื่อสหรัฐฯถอนตัวจากยุโรป
1.ฝรั่งเศส แม้นายมาครงจะแสดงอาการฮึกเหิม โดยประกาศว่าอาจจะมีการขยายการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป แต่ในความเป็นจริงอาวุธนิวเคลียร์ ฝรั่งเศสเป็นเพียงองค์ประกอบของอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ จึงไม่อาจเทียบกับนิวเคลียร์ของรัสเซียได้อนึ่งกองทัพของฝรั่งเศสแม้เป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก แต่ก็ไม่มีความพร้อมรบมากพอ โดยเฉพาะความไม่เอื้ออำนวยในฐานะทางเศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ โดยมาครงและรัฐบาลของเขามีฐานะเป็นเป็ดง่อย ที่ถูกบีบจากทั้งฝ่ายขวา มารี เลอแปง และฝ่ายซ้ายมาลองชอง โดยเฉพาะฝ่ายขวามีท่าทีให้ผูกมิตรกับรัสเซีย เหมือนฝ่ายขวาในเยอรมนีและอีกหลายที่
2.เยอรมนี ภายหลังการเลือกตั้งล่าสุด พรรคคริสเตียนเดโมแครต ได้คะแนนสูงสุด แต่ก็เพียง 29% ส่วนพรรคขวาจัด AFD ได้ 20% โดยทั้ง 2 พรรคไม่อาจรวมกันได้ ดังนั้นพรรคอันดับ 1 ก็คงต้องไปรวมกับพรรคอันดับ 3 คือ SDP ของนายโชลท์ ที่กำลังหมดอำนาจการเมืองเยอรมนีจึงไม่สู้มั่นคง แต่ถ้ามองด้านเศรษฐกิจจะยิ่งเห็นภาพความทรุดโทรมได้ชัดเจน อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมเคมี ทยอยปิดตัว เพราะความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยเฉพาะการเผชิญกับต้นุทนพลังงานที่สูงขึ้น เพราะตัดขาดการพึ่งพาก๊าซและพลังงานราคาถูกจากรัสเซียอย่างเป็นทางการ
แต่แนวคิดของชนชั้นนำ ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ยังมีแนวโน้มที่ไม่ไว้วางใจรัสเซีย จึงเป็นประเด็นที่จะต่อต้านรัสเซีย ดังที่โชลท์ได้ให้ข่าวว่าเยอรมนี และ EU โดยนางเออร์ซูลา ฟอเดอร์เลเยน จะเพิ่มงบประมาณทางทหารเพื่อทดแทนการขาดหายไปของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นภาระหนักของประชาชน จนอาจเกิดการประท้วงขึ้นในเยอรมนีและยุโรปได้และคงจะไม่ได้ฉันทานุมัติจากอีกหลายประเทศ
4.สหราชอาณาจักร ถึงเคียร์ สตาเมอร์ จะประกาศแข็งขันว่าจะสนับสนุนยูเครนเต็มที่ทั้งอาวุธ การเงิน และทำทีจะส่งทหารเข้าไปเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพเพื่อหนุนยูเครน อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัสเซียจนเป็นสงครามใหญ่ได้ แต่สภาพกองทัพของ UK ไม่พร้อมที่จะทำสงครามใหญ่ เพราะขาดการบำรุงรักษาด้วยฐานะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และอาจถูกประชาชนต่อต้านหรือประท้วงใหญ่หากมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายทางทหารในขณะที่ตัดสวัสดิการหลายอย่าง เช่น การรักษาพยาบาลและพลังงาน
อย่างไรก็ตามท่าทีของผู้นำชาติยุโรป ตะวันตกที่ออกมาสนับสนุน และกดดันให้รัสเซีย ยอมรับข้อเสนอหยุดยิง 30 วัน ของยูเครน นั้นมองผิวเผินเหมือนต้องการสันติ แต่มองให้ลึกลงไปจะพบว่าต้องการเวลาให้ยูเครนได้รับการสนับสนุนทางทหารเพิ่มเติม เพื่อก่อสงครามต่อไป เพราะเป็นการยากที่จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ หากสหรัฐฯไม่บีบยูเครนอย่างแรง ทีนี้มาดูบางประเทศยุโรปตะวันออก
มอนโดวา นับเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรป และมีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งกับรัสเซีย ทั้งนี้มอนโดวา เป็นอีกประเทศที่อยากเข้าเป็นสมาชิก EU และ NATO เหมือนยูเครนและประธานาธิบดี Maia Sandu ก็มีท่าทีแข็งกร้าวต่อรัสเซีย ในหลายประการล่าสุดออกกฎหมายห้ามใช้ภาษารัสเซีย เป็นภาษาทางการภาษาที่ 2 ที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแต่มอนโดวา ยังอยู่ในสหภาพโซเวียต การกระทำดังกล่าวนอกจากจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนมอนโดวา เชื้อสายรัสเซียแล้ว ยังกระทบไปถึงทรานนิสเตรีย ประเทศเล็กๆชายตะเข็บมอนโดวา กับยูเครน ที่ประชาชนใช้ภาษารัสเซีย แต่ประเทศนี้ยังไม่อาจแยกตัวออกพ้นชายคาของมอนโดวา โดยทรานนิสเตรีย มีทหารัสเซียประจำการอยู่มาตั้งแต่สมัยซาร์ก่อนยุคโซเวียตด้วยซ้ำ ปัจจุบันทรานนิสเตรียเป็นที่เก็บอาวุธปลดประจำการของสหภาพโซเวียต
นางซานดูขึ้นสู่อำนาจในปี 2020 และไม่เคยทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียง ไม่เคยรายงานผลงานต่อประชาชน แต่ก็สามารถอยู่ในอำนาจได้ โดยยังชนะการเลือกตั้งในสมัยที่ 2 เมื่อปี 2024 จากการช่วยเหลือของตะวันตก กระนั้นก็ตามก็ได้คะแนนน้อยกว่า 30% ของประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศ คะแนนส่วนที่เหลือ จึงต้องอาศัยคะแนนการเลือกตั้งจากคนมอนโดวา ในต่างประเทศ ทั้งในยุโรปและรัสเซีย แต่รัฐบาลที่เมืองหลวง Chisinau กลับใช้การปฏิบัติ 2 มาตรฐาน คือให้ความสะดวกกับผู้ออกเสียงในยุโรป แต่ให้เวลาผู้ออกเสียงในรัสเซียที่กระจายกันอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพียง 1 วัน ทำให้คะแนนไม่ตอบสนองตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ และที่ต้องบันทึกไว้ก็คือมอนโดวา อาศัยรายได้ส่วนใหญ่จากเงินที่ส่งกลับมาของชาวมอนโดวาในต่างแดน
อนึ่งปัญหาของมอนโดวา ก็คงไม่ต่างจากเพื่อนบ้านโรมาเนีย ที่ผู้ได้รับความนิยมสูงอย่างนายเชาเชสคู ที่เป็นแนวชาตินิยมและโปรรัสเซีย ถูกห้ามลงสมัครเป็นประธานาธิบดีหลังจากเลือกตั้งก่อนนี้มีคะแนนนำโด่งและถูกยกเลิก
เรื่องอย่างนี้และการประท้วงความไม่พอใจต่อรัฐบาลในยุโรปจะเป็นอุปสรรคหรือตัวกระตุ้นให้รัฐบาลในยุโรปต้องก่อสงครามหรือไม่ ก็ดูว่าจะเป็นปัญหาท้าทายยิ่ง
———————————————————————————————————————————————-
ที่มา : สยามรัฐ / วันที่เผยแพร่ 20 มีนาคม 2568
Link : https://siamrath.co.th/n/609230