เทศมองไทย
โศกนาฎกรรมซ้ำซ้อน
ที่ชายแดนเมียนมา
เมื่อเดือนที่แล้ว ปฏิบัติการร่วมระหว่างไทย จีน และเมียนมา เพื่อกวาดล้างสำนักงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ชเวก๊กโก ส่งผลให้ผู้คนหลากหลายสัญชาติมากกว่า 7,000 คน ได้รับอิสระจากการถูกแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติบังคับให้ทำหน้าที่หลอกตุ๋นเงินเหยื่อในหลายประเทศ
แต่รายงานของสำนักข่าวเอพี เมื่อ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า คนที่หลุดรอดออกมาได้จากปฏิบัติการครั้งนั้น กำลังเผชิญหน้าอยู่กับโศกนาฏกรรมซ้ำอีกครั้ง
คราวนี้ไม่เพียงหนักหนาสาหัสเท่านั้น แต่ยังมืดมนไร้อนาคตด้วยอีกต่างหาก
รายงานระบุว่า คนทั้งหญิงและชายหลายพันคนเหล่านั้น ถูกกักขังอยู่ในสถานที่แออัด ทุกคนเจ็บป่วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ล้วนแล้วแต่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง
คนเหล่านี้มีที่มาจากหลายประเทศทั่วโลก ทรุดนั่งชันเข่าเรียงแถวแบบไหล่ชนไหล่ ใบหน้ามีหน้ากากอนามัยคาดปิด ชิ้นหนึ่งปิดที่ปาก อีกชิ้นปิดที่ดวงตา ในสถานที่ที่แออัดยัดทะนานนี้ ไม่มีบริการทางการแพทย์ใดๆ อาหารมีจำกัดจำเขี่ย
ที่สำคัญก็คือ ทุกคนไม่รู้แม้สักนิดว่า เมื่อใดถึงจะมีโอกาสได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน
เด็กหนุ่มจากอินเดียรายหนึ่งบอกกับคนข่าวว่า อาคารที่เขาอยู่มีคนอยู่ด้วยราว 800 คน มีสุขาให้ใช้เพียง 10 ห้อง หลายคนมีไข้ บางคนไอโขลกๆ
“ถ้าเราตายที่นี่เพราะปัญหาเจ็บไข้ได้ป่วย ใครจะรับผิดชอบ”
คือคำถามที่ดูเหมือนเลื่อนลอย ไม่ต้องการแม้แต่คำตอบ
ตามรายงานระบุว่า คนที่ถูกกักตัวอยู่ที่นี่ บางคนมีการศึกษาสูง พูดภาษาอังกฤษชัดเจน คล่องแคล่ว ส่วนใหญ่ถูกแก๊งล่อลวงให้เดินทางมายังประเทศไทย โดยให้สัญญาว่าจะได้ทำงานในออฟฟิศหรู
แต่เอาเข้าจริงกลับถูกกักตัวให้อยู่แต่ในตึก บังคับให้นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ 16 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อหลอกลวงให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อ
การปฏิเสธไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด จะถูกตอบแทนด้วยการทุบตี ปล่อยให้อดอาหาร หรือไม่ก็ช็อตด้วยไฟฟ้า พาสปอร์ตถูกยึด ไม่สามารถออกไปนอกอาคารได้
สภาพเหมือนตกอยู่ในนรก ตกนรกทั้งที่ยังมีชีวิต
ไม่นานหลังจากการกวาดล้างครั้งใหญ่ กองกำลังติดอาวุธที่มีอิทธิพลอยู่เหนือพื้นที่ชายแดนแถบนี้อย่างกองกำลังป้องกันชายแดนคะฉิ่น (the Kayin Border Guard Force) และสมาชิกกองทัพคะฉิ่นพุทธ (the Democratic Kayin Buddhist Army) เข้ามาสอบถามผู้ที่ถูกแก๊งกักตัวไว้เหล่านี้ว่า ต้องการไปจากที่นั่นหรือไม่ แล้วก็พาคนเหล่านี้ออกมา
สิ่งที่ดูเหมือนจะดีในทีแรก กลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ เมื่อจำนวนคนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเป็นหลายพันคนในที่สุด
ส่วนหนึ่งถูกกักอยู่ในค่ายทหาร อีกส่วนอยู่ในอาคารที่เดิมเคยเป็นของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาก่อน ทั้งหมดใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์
คนที่โชคดี นอกจากจะเป็นคนไทยที่ได้รับการช่วยเหลือกลับประเทศแล้ว ยังมีคนจีนที่ถูกตัดแยกออกมาแล้วส่งข้ามแดนมายังไทยเพื่อเดินทางด้วยเครื่องบินกลับประเทศ
ตามรายการที่เจ้าหน้าที่เมียนมาจัดทำขึ้น ผู้ที่ถูกกักตัวอยู่ที่นี่ เป็นพลเรือนจาก 29 ประเทศ รวมทั้งประเทศอย่างฟิลิปปินส์ เคนยา และสาธารณรัฐเช็ก
จุดยืนของทางการไทยก็คือ จะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติรายใดข้ามฟากมายังฝั่งไทยเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่า คนเหล่านั้นจะถูกส่งกลับประเทศตนในทันทีแบบชาวจีน
ดังนั้น ผู้ที่ตกอยู่ในค่ายกักกันจึงได้แต่รอคอยความหวังริบหรี่ว่า จะได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูตของประเทศบ้านเกิดของตนเองในไทยหรือในเมียนมา
ซึ่งจนแล้วจนรอดก็ไม่มีมาให้เห็น
เอมี่ มิลเลอร์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ แอกส์ ออฟ เมอร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรการกุศลที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย ยอมรับว่า ยากที่จะทำให้โลกเข้าใจได้ว่า ทำไมคนเหล่านี้ถึงไม่ได้รับอิสระเสียที ทั้งๆ ที่อยู่ห่างออกไปแค่ช่วงข้ามลำน้ำแคบๆ และมองเห็นด้วยตาเปล่าเช่นนี้
เธอบอกว่า สิ่งที่ใครๆ ไม่เข้าใจก็คือ การข้ามเข้าไปในประเทศอื่นถือว่าเป็นพฤติกรรมสงคราม เราจะเดินเข้าไปแล้วรับคนเหล่านั้นออกมาเฉยๆ ไม่ได้
โจ ฟรีแมน นักวิจัยประจำเมียนมา ขององค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุว่า สิ่งที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้ก็คือผลพวงจากการไม่ใส่ใจ ไม่ดูแลการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานานปีดีดัก
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเองก็ไม่แน่ใจนักว่า การปราบปรามครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากน้อยแค่ไหน
ในขณะที่เหยื่อชาวปากีสถานวัย 23 ปี ที่เคยมีหวังว่าจะหลุดรอดจากการถูกกักตัวอยู่ในค่ายทหาร บอกว่า การกวาดล้างไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อแก๊งเหล่านี้แน่นอน
ไอ้พวกนี้ “รวยเหมือนนรก” เขาบอก สามารถซื้อทุกอย่างได้ เพียงเพื่อให้อาชญากรรมของตนดำเนินต่อไป
แต่ที่กำลังจะไม่รอดก็คือคนอย่างพวกตนเท่านั้นเอง
———————————————————————————————————————————————-
ที่มา : สำนักข่าวมติชนออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 15 มีนาคม 2568
Link : https://www.matichonweekly.com/column/article_832553