ระบบกฎหมายระหว่างประเทศ เกราะป้องกันสงคราม – สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้คร่าชีวิตมนุษย์ไปกว่า 11 ล้านชีวิต และสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพียง 20 ปี ได้สังหารชีวิตมนุษย์ไประหว่าง 45-65 ล้านคน แถมด้วยระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็กอีก 2 ลูกที่ทิ้งลงที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบทเรียนให้โลกเรียนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสันดานของประเทศมหาอำนาจแบบดั้งเดิมบวกกับอาวุธที่ทำลายล้างมวลมนุษย์อย่างสูงอย่างอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งย่อมหมายความถึงความพินาศฉิบหายอย่างสุดที่จะจินตนาการได้
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1945 โลกได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงว่าการขาดระบบกฎหมายระหว่างประเทศที่เข้มแข็งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่คร่าชีวิตผู้คนนับสิบล้าน การก่อตั้งสหประชาชาติ (UN) และสนธิสัญญาสำคัญ เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) ได้วางรากฐานให้กับระบบกฎหมายระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายป้องกันสงครามและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ
ถึงแม้ว่าระบบนี้จะไม่สมบูรณ์แบบ และหลายครั้งถูกละเมิดโดยมหาอำนาจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสามารถรักษาสันติภาพระหว่างมหาอำนาจมาได้กว่า 80 ปีแล้ว โดยเฉพาะการป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งหากเกิดขึ้นก็อาจเป็นจุดจบของอารยธรรมมนุษย์
ความเปราะบางของกฎหมายระหว่างประเทศในทางปฏิบัติจะมีลักษณะที่เปราะบาง เพราะไม่มี “ตำรวจโลก” คอยบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง การเคารพหรือไม่เคารพกฎหมายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของรัฐและแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ บ่อยครั้งที่มหาอำนาจเช่นสหรัฐอเมริกา รัสเซีย หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน เลือกปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และละเมิดมันเมื่อไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเป็นต้นว่า สหรัฐอเมริกา และพันธมิตรตะวันตกได้เข้าแทรกแซงในตะวันออกกลางหลายครั้งโดยไม่ได้รับอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ขณะที่รัสเซียก็ละเมิดอธิปไตยของยูเครนใน พ.ศ.2557 และ พ.ศ.2565 อย่างชัดเจน ระบบกฎหมายระหว่างประเทศจึงเป็นเพียง “หลักการ” มากกว่ากฎที่บังคับใช้ได้จริง
แต่ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยแรก (พ.ศ.2560-2564) เขาได้แสดงให้เห็นถึงท่าทีต่อต้านระบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยการถอนสหรัฐอเมริกาออกจากข้อตกลงระหว่างประเทศสำคัญหลายฉบับ เช่น ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) รวมถึงแสดงความไม่เคารพต่อสหประชาชาติและพันธมิตรนาโต นอกจากนี้ นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ของทรัมป์ เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐอเมริกาไม่ต้องการถูกจำกัดโดยกฎระเบียบระหว่างประเทศอีกต่อไป ความพยายามของเขาในการบ่อนทำลายระบบนี้ แม้ไม่ถึงขั้นทำลายได้โดยสิ้นเชิง แต่ก็ทำให้ระบบอ่อนแอลงและสร้างแรงกระเพื่อมให้มหาอำนาจอื่น เช่น รัสเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีนกล้าท้าทายกฎเกณฑ์สากลของกฎหมายระหว่างประเทศมากขึ้น
บทพิสูจน์ความสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศแม้ว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามอิรัก และสงครามยูเครน-รัสเซีย แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ยังไม่มีสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างของกฎหมายระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อันได้แก่สนธิสัญญาสำคัญ เช่น สนธิสัญญาห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) และกฎบัตรสหประชาชาติ ได้ช่วยป้องกันไม่ให้มหาอำนาจทำสงครามกันโดยตรง แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศจะยังคงมีอยู่ แต่มันถูกจำกัดให้อยู่ในระดับที่ไม่ขยายตัวเป็นสงครามโลก
แต่การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ในช่วงระยะเวลาเพียง 50 วัน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทำการขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้งหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กล่าวหาว่ายูเครนเป็นฝ่ายก่อสงครามซึ่งตรงกันข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิง การขึ้นภาษีศุลกากรแต่ฝ่ายเดียวของสหรัฐอเมริกากับนานาประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านเช่นแคนาดาและเม็กซิโก ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักเพราะเป็นการแสดงที่แน่ชัดว่านโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐอเมริกาไม่ต้องการถูกจำกัดโดยกฎระเบียบระหว่างประเทศเลยแม้แต่น้อย
ระบบกฎหมายระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจมีข้อบกพร่องและถูกละเมิดเป็นบางครั้ง แต่สิ่งสำคัญคือ มันสามารถรักษาสันติภาพของโลกมาได้นานกว่า 80 ปี และยังคงเป็นกลไกที่ดีที่สุดที่มนุษยชาติมีในการป้องกันหายนะสงครามโลก อย่างไรก็ตาม โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ความท้าทายเพิ่มขึ้น ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจระหว่างประเทศ การแข่งขันทางเทคโนโลยี และความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ หากประชาคมโลกไม่สามารถรักษาความน่าเชื่อถือของกฎหมายระหว่างประเทศได้ ระบบนี้อาจอ่อนแอลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถป้องกันสงครามใหญ่ระดับสงครามโลกได้อีกต่อไป
———————————————————————————————————————————————-
ที่มา : มติชน / วันที่เผยแพร่ 12 มีนาคม 2568
Link : https://www.matichon.co.th/columnists/news_5088000