เมื่อวันที่ 16 มี.ค.นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (AFNC) และ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)
ได้ติดตามและตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะในกรณีของข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหรือ โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ระยะที่ 3 ซึ่งมีการเผยแพร่ข่าวบิดเบือน นอกจากนี้ ยังพบการใช้บัญชีแพลตฟอร์มที่ปลอมแปลงเป็นทางรัฐอีกด้วย
นายคารม กล่าวต่อว่า ล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ข่าวปลอมฯ พบข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนที่เกี่ยวข้องกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจำนวน 59 เรื่อง แบ่งเป็นข่าวปลอม 13 เรื่อง และข่าวบิดเบือน 6 เรื่อง พร้อมกับตรวจพบแอปพลิเคชันปลอมที่แอบอ้างเป็นทางรัฐจำนวน 5 บัญชี ซึ่งได้ดำเนินการแจ้งปิดกั้นแล้ว ทั้งนี้นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2567 – 12 มี.ค. 2568 ศูนย์ข่าวปลอมฯ และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้ดำเนินการตรวจสอบและเฝ้าระวังการกระทำที่เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
นายคารม กล่าวอีกว่า มีการดำเนินการปิดกั้นแพลตฟอร์มปลอมที่มีการแอบอ้างเป็นของรัฐแล้ว 341 บัญชี ซึ่งรวมบัญชีเฟซบุ๊ก 308 บัญชี และบัญชี Tiktok 33 บัญชี แบ่งเป็นการดำเนินการโดยกระทรวงดิจิทัลฯ จำนวน 219 บัญชี และโดย สกมช. จำนวน 122 บัญชี อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าว รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำงานตรวจสอบกันอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนรับฟังข่าวสารจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ และให้ยึดหลัก 4 ไม่ คือ
1.ไม่กดลิงก์ ที่ไม่รู้แหล่งที่มาหรือไม่ชัดเจน
2.ไม่เชื่อ ทุกข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันจากแหล่งที่เชื่อถือได้
3.ไม่รีบ ตัดสินใจหรือกระทำการใด ๆ โดยขาดการตรวจสอบ
4. ไม่โอน เงินหรือข้อมูลส่วนตัวหากไม่มั่นใจ
———————————————————————————————————————————————-
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 16 มีนาคม 2568
Link : https://www.dailynews.co.th/news/4501064/