อ่านความคิดสหรัฐอเมริกา The Return of Trump ชะตากรรมอาเซียนจะเป็นอย่างไร!!?
ท่าทีอันเกรี้ยวกราดของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่แสดงต่อ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน และสายตาชาวโลก เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ณ ทำเนียบขาว สะท้อนถึงจุดยืนและท่าทีของ “สหรัฐอเมริกา” ในภาคต่อของการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ได้เป็นอย่างดี
ภายใต้มหากาพย์ The Return of Trump เกิดคำถามถึง “ชะตากรรมอาเซียน” ว่าจะเป็นอย่างไร เชิญชวนอ่านมุมมองของ 3 นักวิชาการธรรมศาสตร์ (มธ.) จากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา ให้มุมมองว่า นโยบายอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again) ของโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความสำคัญที่การแบ่งขยายพื้นทางอำนาจไปยัง 2 โซนสำคัญคือ 1.โซนซีกโลกตะวันตก อันได้แก่พื้นที่ทวีปอเมริกาทั้งหมด ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอย่างกรณีการเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา หรือความต้องการซื้อกรีนแลนด์จากประเทศเดนมาร์ก 2.ซีกโลกตะวันออกที่มุ่งทิศทางไปยังภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ด้านการเดินเรือทางมหาสมุทรที่สำคัญ เพราะครอบคลุมบริเวณมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก
สำหรับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก สหรัฐอเมริกามุ่งหวังที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “แนวคิดอินโด-แปซิฟิกที่เปิดกว้างและเสรี” หรือ FOIP ในการใช้เส้นทางการขนส่งทางเรือที่เป็นอิสระ เปิดกว้าง ไม่มีประเทศใดเข้ามาครอบงำ โดยเฉพาะในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งแน่นอนว่า มีเงาของพญามังกรอย่างประเทศจีนแผ่ปกคลุมอยู่ รวมไปถึงพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ความสำคัญในอีกหลายๆมิติ สะท้อนผ่านการลดบทบาทของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในหลายๆพื้นที่ แล้วหันมาทุ่มสรรพกำลังให้กับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวอีกว่า สหรัฐอเมริกาทั้งในสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ ยุคแรก หรือแม้กระทั่งสมัยที่สอง ดำเนินรูปแบบยุทธศาสตร์ความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิกที่น่าสนใจอย่างน้อยสามส่วน ได้แก่ 1.การวางกำลังทหารไปตามแนวยุทธศาสตร์สายโซ่หมู่เกาะ (Island Chain Strategy) 2.การถ่วงดุลอำนาจนอกชายฝั่ง (Offshore Balancing) และ 3.การสร้างสถาปัตยกรรมความมั่นคงเชิงเครือข่าย (Networked Security Architecture) เช่น กรอบร่วมมือ QUAD ซึ่งการดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งสามส่วนนี้ล้วนสอดคล้องกับหลักผลประโยชน์แห่งชาติที่เน้นการประหยัดงบประมาณในต่างแดนลง แต่ก็มีนัยยะที่ทำให้สหรัฐอเมริกาผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้
“ถ้าเราจะทำความเข้าใจอาเซียนในมุมมองของทรัมป์ เราต้องเข้าใจว่าอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งและมีภูมิรัฐศาสตร์อยู่ตรงกึ่งกลางของของอินโด-แปซิฟิก ดังนั้นเราจึงต้องมาทำความเข้าใจว่าจุดไหนเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จะทำให้สหรัฐอเมริกาอยากจะเข้ามาเป็นตัวเล่นในพื้นที่ เพื่อสร้างผลประโยชน์สูงสุดตามนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน แล้วจึงวิเคราะห์ว่าอาเซียนอยู่ตรงไหนของพื้นที่เหล่านั้น จึงจะสามารถวิเคราะห์ผลกระทบ ผลได้ผลเสีย พร้อมมองหาวิธีการในการรับมือได้” รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
ศ. ดร.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิพากษ์ว่า ทรัมป์ได้ประกาศนโยบายสำคัญอันได้แก่ อเมริกาต้องมาก่อน (America First) และจะนำอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ปัจจุบันกลับมีการดำเนินนโยบายที่รื้อทำลายมิตรภาพที่แน้นแฟ้นกับประเทศอื่นๆตลอดเวลา โดยเฉพาะนโยบายการต่างประเทศที่ทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับแนวทางพหุภาคี แต่เห็นด้วยกับแนวทางทวิภาคีมากกว่า จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าอเมริกาจะกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
ศ.ดร.นภดล กล่าวว่า สหรัฐอเมริกามีฐานอำนาจที่สำคัญซึ่งเป็นอำนาจที่ประเทศอื่นๆไม่มี คืออำนาจทางด้านความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศต่างๆอย่างลึกซึ้ง อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา รวมทั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต (Nato) ฯลฯ และยังมีซอฟต์พาวเวอร์ที่แข็งแรงเช่น การให้งบประมาณช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชน แต่การรื้อทำลายมิตรภาพที่แน่นแฟ้นด้วยนโยบายการต่างประเทศ เช่น การประกาศถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) การขู่ว่าจะนำอเมริกาถอนตัวออกจากข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฯลฯ หรือการตัดงบประมาณสนับสนุนความช่วยเหลือต่างๆ ถือเป็นการทำลายฐานอำนาจพิเศษของตัวเอง
“วิธีการที่อเมริกากำลังดำเนินการอยู่ ด้วยเชื่อมั่นว่าสามารถจัดการสิ่งต่างๆได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพันธมิตร ทั้งการปรับมหายุทธศาสตร์ (Grand Strategy) หรือการเดินยุทธศาสตร์ทางการทหารในพื้นที่ทางทะเลต่างๆ เช่นเดียวกับเมื่อกว่า 200 ปี ที่แล้ว” ศ.ดร.นภดล กล่าว
ศ.ดร.นภดล มองว่า ในระยะเวลาอันใกล้นี้ อเมริกายังจะวุ่นวายอยู่กับการจัดการปัญหาในภาพใหญ่ ซึ่งผลกระทบโดยตรงต่อสหรัฐอเมริกาจนไม่มีเวลาเพ่งความสนใจมาที่อาเซียน และเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่สหรัฐอเมริกาไม่สนใจการเจรจาต่อรองกับกลุ่มประเทศแบบพหุภาคี ทำให้อาเซียนต้องปรับแก้กลวิธีด้วยการสร้างฉันทามติร่วมกันภายในอาเซียนก่อน จากนั้นแต่ละประเทศก็จะเดินหน้าเข้าสู่การเจรจาแบบทวิภาคีกับอเมริกา โดยมีทิศทางข้อเสนอเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งอาเซียนก็จะต้องมองหาจุดแข็งว่าจะนำสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนกับอเมริกา ซึ่งส่วนตัวมองว่าจุดยุทธศาสตร์การเดินเรือทางทะเลที่สำคัญๆเช่น ช่องแคบมะละกา หรือทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งอาเซียนอาจใช้เงื่อนไขดังกล่าวไปแลกเปลี่ยน เพื่อให้อเมริกาเข้ามาถ่วงดุลอำนาจจากจีน
“แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นได้ยากมาก เพราะนับตั้งแต่ปี 1967 ที่มีการก่อตั้งอาเซียน พบว่าทุกวันนี้ถือเป็นยุคที่อาเซียนอ่อนแอที่สุด กล่าวคือไม่มีความเป็นเอกภาพ ไม่มีฉันทามติร่วมกันในการแก้ไขปัญหาสำคัญๆเช่น เรื่องปัญหาแม่น้ำโขง เรื่องสถานการณ์ในเมียนมาร์ เรื่องทะเลจีนใต้ ฯลฯ เพราะต่างฝ่ายต่างมองผลประโยชน์เฉพาะหน้าส่วนตน แต่ต้องไปร่วมกันเจรจาต่อรองกับอเมริกา ซึ่งมีแนวทางต่อต้านพหุภาคีอีกด้วย สิ่งเหล่านี้คือข้อท้าทาย” ศ.ดร.นภดล กล่าว
ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำสิ่งที่เรียกว่ามหายุทธศาสตร์ (Grand Strategy) ซึ่งเป็นการวางแผนระยะยาวที่มีเงื่อนไขเวลาเกินกว่า 10 ปี อันเป็นผลมาจากบริบทของสถาปัตยกรรมการแข่งขันทางอำนาจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จนก่อให้เกิดอำนาจรูปแบบใหม่ขึ้นมาท้าทายสหรัฐอเมริกา ทางให้สหรัฐอเมริกาต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินการนโยบายทั้งต่างประเทศและภายในประเทศด้วยวิธีการใหม่ๆ เพื่อยังคงสร้างผลประโยชน์แห่งชาติในด้านความมั่นคง มั่งคั่ง และเสรีภาพ ให้เกิดขึ้นแก่อเมริกา
“อาเซียนจะมีบทบาทน้อยลง ทั้งจากการที่อเมริกาไม่ได้ให้ความสำคัญกับพหุภาคีและจากประวัติศาสตร์ของทรัมป์ตั้งแต่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกที่ไม่เคยเข้ามาร่วมประชุมในเวทีอาเซียนเลย” ดร.ปองขวัญกล่าว
ดร.ปองขวัญ ชี้ประเด็นว่า ความสำคัญของอาเซียนที่พอจะมีอยู่บ้างคือการที่เราเป็นตัวเชื่อมตรงกลางให้อเมริกากับจีนมาพูดคุยกัน นี่คือบทบาทที่เราจะทำได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าทรัมป์เป็นนักเจรจา นักแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หากอาเซียนสามารถยื่นข้อเสนอได้ก็สามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับอเมริกาไว้ได้เช่นกัน
———————————————————————————————————————————————————————-
ที่มา : siamrath / วันที่เผยแพร่ 3 มีนาคม 2568
Link : https://siamrath.co.th/n/605017