เมื่อกล่าวถึง “คาร์บอน” ในปัจจุบัน ภาพจำของส่วนใหญ่มักโยงไปถึงภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหายนะที่กำลังคืบคลานเข้าหาโลก
คำว่า “ลดคาร์บอน” หรือ “ปลอดคาร์บอน” กลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของนโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศ จนดูเสมือนว่าคาร์บอนเป็นผู้ร้ายที่ต้องถูกขจัดออกจากระบบให้หมดไป
แต่ความเป็นจริงนั้นซับซ้อนกว่าภาพขาวดำที่วาดไว้ คาร์บอนไม่ใช่ศัตรูของมนุษย์ หากแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตและระบบนิเวศที่สมดุล สิ่งที่เราต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นคือ “บริบท” และ “ปริมาณ” ของคาร์บอน ไม่ใช่การเหมารวมให้เป็นผู้ร้ายที่ต้องกำจัดอย่างสุดโต่ง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกเริ่มเข้าสู่ยุคที่เราอาจเรียกว่า “คาร์บอนโฟเบีย” (carbon phobia) หรือความกลัวและต่อต้านคาร์บอน บริษัทจำนวนมากเร่งรีบตั้งเป้า Net Zero บางประเทศพยายาม “เลิกใช้” คาร์บอนอย่างฉับพลันและต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
เบื้องหลังความพยายามเหล่านี้ มีผลข้างเคียงมากมายที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมโดยการปิดเหมืองถ่านหินทันที ทำให้แรงงานหลายแสนคนตกงานโดยไม่มีทางเลือก
การเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดโดยไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดไฟฟ้าขาดแคลนหรือราคาพลังงานสูงเกินเอื้อมสำหรับประชาชน
การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแม้จะไม่ปล่อยคาร์บอนขณะขับขี่ แต่ในกระบวนการผลิตแบตเตอรี่กลับสร้างมลพิษและใช้พลังงานสูงมากในบางกรณี
การมองว่าคาร์บอนคือศัตรูทำให้เรามุ่งแต่จะ “ดูดกลับ” หรือ “กำจัด” คาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ โดยไม่พิจารณาถึงความสมดุลของระบบนิเวศ
เช่น การปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ อาจนำไปสู่การปลูกไม้เชิงเดี่ยวในพื้นที่กว้างใหญ่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศท้องถิ่น
สิ่งที่จำเป็นต้องทำไม่ใช่การทำสงครามกับคาร์บอน แต่เป็นการ “อยู่ร่วมกับคาร์บอนอย่างสมดุล”
เราต้องฟื้นฟูความเข้าใจว่า “วัฏจักรคาร์บอน” คือระบบธรรมชาติที่ซับซ้อนและเปราะบาง มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง แต่สามารถร่วมมือกับธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูสมดุลเดิมกลับคืนมา
เมื่อย้อนกลับมาดูว่า “คาร์บอน” คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ ก็จะพบว่าคาร์บอนเป็นธาตุพื้นฐานในตารางธาตุ เป็นแกนกลางของโมเลกุลอินทรีย์ทุกชนิด ตั้งแต่ดีเอ็นเอในเซลล์สิ่งมีชีวิต ไปจนถึงน้ำตาล โปรตีน และไขมันที่เราใช้เลี้ยงชีพ
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก ทั้งพืช สัตว์ จุลินทรีย์ มนุษย์ ล้วนเป็น “สิ่งมีชีวิตบนฐานของคาร์บอน” การมีอยู่ของคาร์บอนในธรรมชาติเป็นเงื่อนไขที่ทำให้โลกสามารถมีชีวิตได้ในระบบนิเวศ
ธาตุคาร์บอนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อม ผ่านกระบวนการที่เราเรียกว่า “วัฏจักรคาร์บอน” พืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมาสังเคราะห์แสง กลายเป็นพลังงานและเนื้อเยื่อ ชีวิตอื่นๆ กินพืชหรือกินกันเองต่อไป
และสุดท้ายคาร์บอนก็ถูกปล่อยคืนกลับสู่ดิน อากาศ หรือมหาสมุทร ในรูปของก๊าซหรือตะกอน วัฏจักรนี้มีความสมดุลในตัวมันเองมาอย่างยาวนาน ก่อนที่กิจกรรมของมนุษย์จะเริ่มเข้ามาแทรกแซง
ปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงไม่ได้อยู่ที่ “คาร์บอน” โดยตัวมันเอง แต่อยู่ที่ “คาร์บอนส่วนเกิน” ที่มนุษย์ปล่อยออกมาในปริมาณมหาศาลโดยไม่มีการดูดกลับอย่างสมดุล
คาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และกิจกรรมอุตสาหกรรมจำนวนมากเข้าไปรบกวนวัฏจักรคาร์บอนตามธรรมชาติ ทำให้เกิด “ภาวะเรือนกระจก” ที่ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น
การมองว่า “คาร์บอนเป็นผู้ร้าย” ที่ต้องกำจัดจึงเป็นการเหมารวมที่อันตราย เพราะเรากำลังลบความสำคัญของคาร์บอนในระบบธรรมชาติ
ทำให้เราหลงทางในแนวทางการแก้ไขปัญหา เปรียบเหมือนการพบว่าร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูง แล้วเราตัดสินใจกำจัดน้ำตาลทั้งหมดแทนที่จะควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “คาร์บอนที่จำเป็น” กับ “คาร์บอนส่วนเกินที่เป็นปัญหา” จึงเป็นจุดตั้งต้นของการแก้ไขปัญหาโลกร้อน
แนวทางที่ควรให้ความสำคัญคือ การเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรม (Just Energy Transition) การปรับระบบเศรษฐกิจให้ยั่งยืนโดยไม่เน้นการเติบโตทางตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึงคุณภาพชีวิต ความยืดหยุ่นของชุมชน และสุขภาวะของระบบนิเวศไปพร้อมกัน
ในแง่เทคโนโลยี เราสามารถสนับสนุนวิธีการจัดการคาร์บอนที่หลากหลาย เช่น การฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรมให้สามารถเก็บกักคาร์บอนได้
การสร้างเมืองที่มีคาร์บอนต่ำผ่านการออกแบบเชิงนิเวศ การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้สนับสนุนการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่ยึดติดแค่การคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์แบบแยกส่วนเท่านั้น
ในระดับจิตวิญญาณและวัฒนธรรม เราอาจต้องกลับมาทบทวนวิธีคิดที่ทำให้เรามองโลกในฐานะ “สิ่งที่ต้องควบคุมและเอาชนะ” แทนที่จะมองว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลก
คาร์บอนไม่ได้แยกขาดจากเรา แต่มันคือองค์ประกอบเดียวกันที่หล่อเลี้ยงทั้งร่างกายและธรรมชาติรอบตัวเรา
การแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืนต้องอาศัยทางสายกลางที่เข้าใจธรรมชาติของคาร์บอน การมุ่งเน้นไปที่ความเป็นองค์รวม ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมจะทำให้เรามีทางเลือกที่หลากหลายและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว
มุมมองคาร์บอนเป็นผู้ร้ายที่ต้องกำจัดจึงควรถูกแทนที่ด้วยคำถามใหม่ว่า “เราจะอยู่ร่วมกับคาร์บอนอย่างฉลาดได้อย่างไร?”
คำตอบจะไม่ได้อยู่แค่ในนโยบายหรือนวัตกรรม แต่อยู่ในวิธีคิดใหม่ที่เชื่อมโยงเราเข้ากับโลกอย่างลึกซึ้งและเคารพต่อความซับซ้อนของธรรมชาติ
————————————————————————————————–
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 16 เมษายน 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/blogs/environment/1176055