สำนักวาติกัน จัดพิธีอัญเชิญพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ออกมาประดิษฐานยังพระแท่นในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถวายสักการะและความอาลัย ก่อนที่จะมีพิธีพระศพในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เจ้าชายวิลเลียมแห่งอังกฤษ , สมเด็จพระราชาธิบดีและพระราชินีสเปน และผู้นำโลกหลายสิบคน รวมถึง “ทรัมป์” ผู้นำอังกฤษ ฝรั่งเศส ยูเครน พร้อมร่วมพิธีพระศพ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อช่วงสายวันที่ 23 เมษายนตามเวลาท้องถิ่น พระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งทรงฉลองพระองค์สีแดงบรรทมอยู่ในหีบพระศพแบบเปิด ได้ถูกอัญเชิญออกจากโบสถ์เล็กภายในที่ประทับซานตา มาร์ตา ไปประดิษฐานยังมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โดยขบวนที่ประกอบด้วย พระคาร์ดินัล บาทหลวง และทหารรักษาพระองค์ เคลื่อนออกจากโบสถ์ ซึ่งมีการสวดบทสวดภาษาลาติน และเสียงระฆังของมหาวิหาร
ช่วงเริ่มพิธี พระคาร์ดินัล เควิน ฟาร์เรล ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายไอริชกล่าวถ้อยคำว่า “พี่น้องที่รัก ด้วยความโศกเศร้าอย่างยิ่ง พวกเราได้ร่วมเดินทางไปกับร่างของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเพื่อไปยังมหาวิหารวาติกัน” ในขณะที่ขบวนพระศพเคลื่อนผ่านจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ผู้คนจำนวนมากที่มารอเฝ้าอยู่อย่างเนืองแน่นก็พร้อมใจกันปรบมืออย่างกึกก้อง ซึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพตามธรรมเนียมของชาวอิตาลี
จากนั้นขบวนเคลื่อนเข้าสู่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โดยหีบพระศพได้ประดิษฐานไว้บนแท่น หลังเสร็จพิธีการทางศาสนาแล้ว สำนักวาติกันได้อนุญาตให้ประชาชนได้เข้าถวายความอาลัยและสักการะพระศพไปจนถึงเวลา 21.00 น. ของวันศุกร์นี้ตามเวลาท้องถิ่น (25 เมษายน) ก่อนที่จะมีพิธีพระศพในเวลา 10.00 น. วันเสาร์ที่ 26 เมษายน
สำหรับผู้นำจากประเทศต่างๆ ที่ยืนยันเดินทางมาเข้าร่วมพิธี อาทิ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ, ประธานาธิบดี ฮาเวียร์ มิเล แห่งอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของโป๊ปฟรานซิส, นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร , ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส , ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน , ประธานาธิบดี อันแชร์ ดูดา แห่งโปแลนด์ , เออร์ซูลา ฟอน แดร์ เลเยิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป , นายกรัฐมนตรี จอร์จา เมโลนี แห่งอิตาลี และประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวาแห่งบราซิล ประเทศที่มีประชากรชาวคาทอลิกมากสุดในโลก ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดบริเวณด้านนอกมหาวิหาร มีการติดตั้งเครื่องตรวจเอกซเรย์ด้านหน้าทางเข้าจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ และสั่งห้ามบินเหนือน่านฟ้ากรุงโรมและนครรัฐวาติกัน ขณะที่คาดว่า น่าจะมีคริสตศาสนิกชนและประชาชนผู้มีจิตศรัทธาอย่างน้อยถึง 200,000 คน ที่จะเข้าร่วมพิธีพระศพที่ด้านนอกมหาวิหาร
อีกด้านหนึ่ง สำนักวาติกันยังเปิดเผยรายละเอียดช่วง 24 ชั่วโมงสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ โดยในวัน “อีสเตอร์ ซันเดย์” อาทิตย์ที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา โป๊ปฟรานซิสทรงปรากฏพระองค์ครั้งแรกหลังเสด็จออกจากโรงพยาบาลที่ประทับอยู่นาน 5 สัปดาห์ เพื่อรักษาพระอาการประชวรปอดอักเสบติดเชื้อทั้ง 2 ข้าง ทรงถามพยาบาลส่วนพระองค์ว่า จะทรงทำได้หรือไม่ ก่อนการปรากฏพระองค์ที่ระเบียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เมื่อพยาบาลยืนยันว่าทรงทำได้ จึงได้ปรากฏพระองค์ที่ระเบียงดังกล่าวและทรงอวยพรผู้ศรัทธาจำนวนมากที่มารอเฝ้าที่ลานจตุรัสเซนต์ปีเตอร์เนื่องในวันอีสเตอร์ ซันเดย์
ต่อมาเช้าวันรุ่งขึ้น “อีสเตอร์ มันเดย์” เวลา 5.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับ 10.30 น. วันเดียวกันตามเวลาไทย ทรงเริ่มรู้สึกไม่สบาย และเพียง 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น พระอาการเข้าสู่โคม่าอย่างรวดเร็ว และสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน แต่บรรดาคนที่อยู่ข้างเตียงที่ประทับยืนยันว่า ทรงไม่มีความทุกข์ทรมานใด ๆ และทรงจากไปอย่างสงบ แพทย์เผยสาเหตุการสิ้นพระชนม์ว่ามาจากอาการสโตรค และภาวะหัวใจล้มเหลวง
————————————————————————————————–
ที่มา : สำนักข่าวแนวหน้า / วันที่เผยแพร่ 23 เมษายน 2568
Link : https://www.naewna.com/politic/879362