เชื่อว่าตอนนี้ทุกคนต่างต้องเคยเผชิญกับอาชญากรรมทางไซเบอร์กันไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นการถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์มาหลอกลวง อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานธนาคาร หรือคนส่งของ แล้วหลอกโอนเงิน ไปจนถึงการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ แล้วเจอลิงก์แปลกปลอมที่กดเข้าไปอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของเรารั่วไหลออกไปสู่ภายนอก
ปัญหานี้สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นเรื่องเรื้อรังของสังคมไทย ผู้คนจำนวนมากถูกหลอกให้สูญเสียข้อมูลส่วนบุคคล สูญเสียทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งสูญเสียชีวิต เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหาหรือหาหนทางไปต่อได้อย่างไร
สิ่งจำเป็นที่สังคมไทยจะต้องมีในเวลานี้คือ ‘การสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์’ โดยดูได้จากการสำรวจตัวเองว่าเรามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี หรือการเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ มากน้อยแค่ไหน ซึ่งภูมิคุ้มกันต่อปัญหาที่ว่านี้แต่ละคนก็มีไม่เท่ากัน
ดังนั้นคำถามที่ตามมาคือ หากเราจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์และรู้เท่าทันอาชญากรรมออนไลน์ เราควรเริ่มจากจุดไหน แล้วสิ่งที่เรียกว่า ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้อย่างไรบ้าง
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ปัญหาใหญ่ในสังคมไทย
เมื่อพูดถึงภัยไซเบอร์ แต่ละคนอาจตีความหรือนึกถึงภัยคุกคามที่ว่านี้แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง เช่น บางคนนึกถึงแก๊งหรือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ทำสแกมเมอร์หรือคอลเซ็นเตอร์ ด้วยการปลอมตัวและแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานส่งของ หรือเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์
ข้อมูลสถิติจากรายงาน The Global State of Scams Report 2022: How are countries worldwide fighting online scams ระบุว่า เวลานี้ทั่วทุกมุมโลกมีรายงานเกี่ยวกับการถูกหลอกลวงเงินผ่านออนไลน์มากถึง 293 ล้านครั้ง ซึ่งประเทศที่ใช้ระบบการเงินแบบโอนและรับเงินได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง หรือ Real-Time Payments มีแนวโน้มที่จะเกิดภัยการเงินสูงตามไปด้วย
นอกจากนี้ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เกี่ยวกับการแจ้งความภัยจากออนไลน์ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 หรือในระยะเวลากว่า 2 ปี 5 เดือน พบว่า เกิดเหตุมากถึง 612,603 เคสไอดี และมีแนวทางการหลอกลวงหลากหลายถึง 14 รูปแบบ ซึ่งประเภทการหลอกลวงที่มีมูลค่าความเสียหายมากที่สุดกว่า 25,000 ล้านบาท คือการหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ แต่ความเสียหายในภาพรวมจากการหลอกลวงทุกรูปแบบ มีมูลค่ารวมแตะหลักแสนล้านบาท
ถึงสังคมจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่และเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อมองเข้ามาแบบใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าคนไทยขาดความตระหนักรู้ทางไซเบอร์มากน้อยแค่ไหน เราจึงต้องสำรวจตัวของเราเองด้วยที่อาจไม่เคยรู้ว่าควรจะต้องรู้อะไรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองบ้าง
ยกตัวอย่าง เช่น เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนไทยครึ่งประเทศตั้งรหัสผ่านสำคัญๆ เป็นเลขวันเกิด หรือการตั้งรหัสเป็นตัวเลขเรียงกันโดยใช้เลข 1 , 8 หรือเลข 0 ซ้ำกัน ซึ่งเป็นรหัสที่แฮกเกอร์สามารถคาดเดาได้ง่าย ไหนจะเรื่องง่ายๆ อย่างการไม่เคยล้างแคชและคุกกี้ในเว็บไซต์ ไปจนถึงการขาดความรู้ความเข้าใจเวลาต่อ Wi-Fi ตามที่สาธารณะ แล้วทำธุรกรรมทางการเงินผ่านเครือข่ายที่เราไม่ได้รู้จัก
กลายเป็นว่าการกระทำหลายอย่างในชีวิตประจำวันของเราบนโลกออนไลน์อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินถูกดูดออกไปได้ง่ายๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นชีวิตประจำวันของทุกคน เป็นปัญหาใหญ่ แต่เราควรจะเริ่มต้นรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร
สำรวจตัวเอง เรารู้ทันภัยไซเบอร์มากน้อยแค่ไหน?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถิติตัวเลขจากการสำรวจภัยในประเด็นต่างๆ ทำให้สังคมได้เห็นถึงปัญหาที่เกิดจากไซเบอร์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นข้อมูลจึงกลายเป็นสิ่งที่มีพลังมากต่อการรับมือกับเรื่องนี้ หากนำข้อมูลมาต่อยอด วัดระดับทักษะการใช้โซเชียลมีเดียของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย ที่จะทำให้เห็นหนทางที่จะทำให้ภัยคุกคามนี้ลดจำนวนลงได้
ตอนนี้ประเทศไทยมีเครื่องมือวัดผลทักษะการใช้งานในโลกไซเบอร์เป็นครั้งแรกในชื่อว่า ‘ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล (Thailand Cyber Wellness Index หรือ TCWI) ริเริ่มโดย AIS อุ่นใจไซเบอร์ ที่ร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัยชั้นนำ สร้างกรอบแนวคิดการสำรวจและศึกษาขั้นตอนวิธีการเก็บผลสำรวจ การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และสรุปผลการศึกษาออกมาเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย
ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนไทยมีความรู้เท่าทันเกี่ยวกับภัยไซเบอร์มากน้อยแค่ไหน รวมถึงเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นำไปพัฒนาและปรับใช้ต่อไป
ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลลงพื้นที่สำรวจครอบคลุมถึง 7 ภูมิภาค ครบทั้ง 77 จังหวัด กับผู้คนหลากหลายช่วงวัย หลายอาชีพ หลายภูมิลำเนา รวมแล้วกว่า 50,965 คน โดยให้ร่วมทำแบบประเมินเรื่องดิจิทัล 7 ด้านด้วยกันเพื่อวัดความตระหนักรู้ในด้านต่างๆ ได้แก่
การใช้ดิจิทัล ที่จะสำรวจว่าแต่ละคนมีความรู้ความสามารถ และความตระหนักถึงความสำคัญในการใช้ดิจิทัลบริหารจัดการชีวิตประจำวันของตัวเองอย่างไรบ้าง
ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ สำรวจว่าเรามีความรู้ความสามารถด้านการป้องกันภัยบนโลกไซเบอร์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น แล้วเราใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีเพื่อป้องกันและรับมือกับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
รู้เท่าทันดิจิทัล สำรวจว่าแต่ละคนสามารถค้นหาข้อมูล เข้าถึงข้อมูล และประเมินข้อมูลเชิงวิพากษ์และสร้างสรรค์เนื้อหาทางดิจิทัลอย่างไรบ้าง
เข้าใจสิทธิทางดิจิทัล โดยการประเมินว่าเรามีความสัมพันธ์ทางออนไลน์กับบุคคลที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักในรูปแบบใดบ้าง
การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ ย้อนสำรวจประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าเราเป็นทั้งผู้ได้รับและผู้กระทำเกี่ยวกับการกลั่นแกล้ง การให้ร้าย การต่อว่าข่มเหง คุกคาม หรือรังแกทางไซเบอร์ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook , YouTube , X , LINE หรือ Tiktok บ้างหรือไม่
การสื่อสารและการทำงานร่วมกันบนดิจิทัล สำรวจการมีส่วนร่วมในสังคมผ่านบริการดิจิทัลทั้งภาครัฐและเอกชน ว่าเราได้ระบุตัวตนและชื่อเสียงทางดิจิทัลอย่างเหมาะสมหรือไม่
และสุดท้าย การแสดงความสัมพันธ์ทางดิจิทัล ที่จะตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลบนโลกออนไลน์ในแบบภาพรวม
เมื่อประเมินครบทั้ง 7 ด้านแล้วจะได้เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทยที่จะแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ สุขภาวะดิจิทัลระดับสูง คือผู้ที่มีความรู้และทักษะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย สร้างสรรค์ รวมถึงรู้เท่าทันการใช้งานและภัยไซเบอร์ และยังสามารถแนะนำให้ครอบครัวหรือคนรอบข้างเกิดทักษะในการใช้งานดิจิทัลได้อีกด้วย
อันดับรองลงมาคือ สุขภาวะดิจิทัลระดับพื้นฐาน หมายถึงผู้ที่มีความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างถูกต้องปลอดภัย และอันดับสุดท้ายที่น่าเป็นห่วงคือ สุขภาวะดิจิทัลระดับต้องพัฒนา
Link : https://thestandard.co/assess-cybersecurity-awareness/