KEY ส้ดส่วนของพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่เป็น 47% ของการผลิตไฟฟ้าในสหภาพยุโรปเมื่อปี 2024
POINTS ส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิลลดลงสู่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ คิดเป็น 29%
สหรัฐและจีนยังคงผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลคิดเป็นเกือบ 66% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งสองประเทศ
การรุกรานยูเครนของรัสเซียกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในยุโรปเร็วขึ้น
ในปี 2024 เป็นปีแรกที่ “สหภาพยุโรป” สามารถผลิตไฟฟ้าจาก “พลังงานแสงอาทิตย์” ได้ถึง 11% โดยมากกว่า “ถ่านหิน” ที่ลดต่ำกว่า 10% เป็นครั้งแรก ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสำคัญของ “พลังงานหมุนเวียน”
รายงานประจำปีด้านไฟฟ้าของยุโรปของ Ember กลุ่มวิจัยด้านพลังงาน พบว่า ภาคพลังงานของสหภาพยุโรปกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพลังงานสะอาดเติบโตอย่างรวดเร็ว
ดร. คริส รอสโลว์ นักวิเคราะห์อาวุโสและผู้เขียนหลักของรายงานกล่าวว่า “เชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังตายจากอุตสาหกรรมพลังงานของสหภาพยุโรป”
“ในช่วงเริ่มต้นของข้อตกลงสีเขียวของยุโรปเมื่อปี 2019 แทบไม่มีใครคิดว่าการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของสหภาพยุโรปจะมาถึงจุดนี้ได้ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์กำลังเข้ามาแทน และทำให้ก๊าซธรรมชาติลดลงโดยปริยาย”
ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในยุโรปลดลงสู่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ คิดเป็น 29% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่สหภาพยุโรปผลิตได้ในปี 2024 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับ 39% ก่อนข้อตกลงสีเขียว
ขณะเดียวกัน พลังงานแสงอาทิตย์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการฟื้นตัวของพลังงานน้ำ ทำให้สัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่เป็น 47% ของการผลิตไฟฟ้าในสหภาพยุโรปเมื่อปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2019 ส่วนที่เหลืออีก 24% มาจากพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน
การเติบโตของพลังงานหมุนเวียนในยุโรป เติบโตกว่าในสหรัฐและจีนมาก เพราะเกือบ 66% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งสองประเทศ ยังคงผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดมลภาวะคาร์บอน เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ดูเหมือนว่าสหรัฐจะไม่สนใจที่จะหันมาใช้พลังงานสะอาด เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะเพิ่มการพัฒนาน้ำมัน ระงับโครงการพลังงานลม และยกเลิกมาตรการแรงจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน
ดร. เบียทริซ เปโตรวิช นักวิเคราะห์อาวุโสของ Ember กล่าวว่า “สหภาพยุโรปกำลังก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาด ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ซึ่งจะช่วยให้สหภาพยุโรปหลีกเลี่ยงจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล ช่วยแก้ปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ และจัดหาพลังงานราคาไม่แพงให้กับครัวเรือนและบริษัทต่าง ๆ”
นอกจากนี้ การรุกรานยูเครนของรัสเซียยังกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในยุโรปเร็วขึ้น เนื่องจากยุโรปเลิกซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ทำให้ราคาแก๊สพุ่งสูงขึ้น ประเทศต่าง ๆ จึงต้องมองหาทางเลือกอื่นที่ถูกกว่าและสะอาดกว่า โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และเอสโตเนียมีพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน การเติบโตของพลังงานนิวเคลียร์ในสหภาพยุโรปก็ชะลอตัวลง ตามรายงานของ Global Energy Monitor พบว่า ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 2000 ทั่วทั้งสหภาพยุโรปเริ่มปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มากกว่าสร้างโรงงานใหม่
หากไม่มีกำลังการผลิตพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่ปี 2019 สหภาพยุโรปจะต้องนำเข้าก๊าซเพิ่มเติมอีก 92,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และถ่านหิน 55 ล้านตัน ซึ่งมีมูลค่า 59,000 ล้านยูโร ตามการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์
เมื่อปี 2024 จำนวนแผงโซลาร์ของสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 66 กิกะวัตต์ ซึ่งเท่ากับในแต่ละวันมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มมากกว่า 450,000 แผง ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยอัตราส่วนพลังงานแสงอาทิตย์กำลังเติบโตขึ้นในทุกประเทศในสหภาพยุโรป และปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งเลิกใช้พลังงานถ่านหินแล้ว หรือใช้ไม่เกิน 5%
Ember พบว่า 16 ประเทศในสหภาพยุโรปผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากกว่า 10% ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มมาจากปี 2023 อยู่ 3 ประเทศ โดยประเทศที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ ฮังการี (25%) กรีซ (22%) และสเปน (21%)
ปัจจุบันการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนระเบียงกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเยอรมนี ในขณะที่ผู้กำหนดนโยบายนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในภาคเกษตรกรรม โดยติดตั้งบนหลังคาและในทุ่งนา
นักวิเคราะห์ระบุว่า ในกลุ่มประเทศที่ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์สูงสุด ใกล้จะถึงจุดที่ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เกินความต้องการในประเทศแล้ว โดยในปี 2024 มีมากกว่า 70 วันที่เนเธอร์แลนด์และฮังการีสามารถใช้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ตอบสนองความต้องการทั้งหมดของประเทศได้มากกว่า 80%
ฮังการีสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่งผลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในตอนนี้บางส่วนอาจจะต้องปิดตัวลง เพราะเริ่มจะมากเกินไป ทำให้ภาครัฐต้องเร่งติดตั้งแบตเตอรี่และปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อให้คงโมเมนตัมและช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ จากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในปริมาณมาก
แม้พลังงานแสงอาทิตย์จะเติบโตได้ดี แต่พลังงานลมยังต้องพัฒนาอีกมาก โดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศและสมาคม WindEurope คาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานลมเฉลี่ยปีละ 19-22 กิกะวัตต์ ในช่วงระหว่างปี 2025-2030 แต่ยังเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าเป้าหมายของสหภาพยุโรป ที่ระบุไว้ที่ 34 กิกะวัตต์
ทั้งนี้ อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเอิน ประธานสหภาพยุโรปกล่าวว่า “ยุโรปจะยึดมั่นในแนวทางนี้ และจะทำงานร่วมกับประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการปกป้องธรรมชาติและหยุดภาวะโลกร้อนต่อไป”
ที่มา: Aljazeera, AP News, Euronews
————————————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 31 มกราคม 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/environment/1164580