เส้นทางของประเทศไทยในบริบทโลกไร้คาร์บอน
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้มีการระบุถึงปัญหาและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมเสนอแนะแนวทางแก้ไข ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535-2539) เป็นต้นมา อีกทั้งในเวทีระดับโลกซึ่งมีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือการประชุม COP (The Conference of the Parties) ประเทศไทยได้ร่วมแสดงจุดยืนในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยได้มีการให้สัตยาบันต่อกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2537 อีกทั้งยังได้ร่วมให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2545 เพื่อร่วมรับผิดชอบดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามขีดความสามารถด้วยความสมัครใจและมีสิทธิเข้าร่วมในโครงการตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) และได้ร่วมให้สัตยาบันความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2559 เพื่อร่วมดำเนินงานในระยะหลังปี พ.ศ.2563 ตามวัตถุประสงค์ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้ประเทศไทยต้องดำเนินการจัดทำ จัดส่ง และรักษาการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) อย่างต่อเนื่องทุกๆ 5 ปี รวมทั้งจัดทำและสื่อสารยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (Long-term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategies: LT-LEDS) ไปยังสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาฯ เพื่อร่วมจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งภายใต้แผนยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ ฉบับปรับปรุง ได้มีการกำหนดเป้าหมายและแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญที่จะนำพาประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ.2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี พ.ศ.2608 ดังนี้
การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 ซึ่งกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ.2564-2573 ครอบคลุมทุกภาคส่วน (ยกเว้นการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และป่าไม้) และนับรวมก๊าซเรือนกระจก 6 ชนิด (คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), มีเทน (CH4), ไนตรัสออกไซด์ (N2O), ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs), เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) และซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ (SF6)) ได้มีการยกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ณ ปี พ.ศ.2573 เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ ฉบับปรับปรุง โดยยกระดับการลดก๊าซเรือนกระจกจากร้อยละ 20 จากกรณีดำเนินงานปกติ เป็นร้อยละ 30 จากกรณีดำเนินงานปกติ และระดับการมีส่วนร่วมอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40 หากได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอและเพิ่มขึ้นในด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี แหล่งเงินทุน และการเสริมสร้างขีดความสามารถจากความร่วมมือระหว่างประเทศและกลไกภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ
ความพยายามของประเทศไทยที่จะร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังและเข้มแข็ง จากแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ พ.ศ.2564-2573 สู่การจัดทำแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกรายสาขา อันประกอบด้วย (1) สาขาพลังงาน โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก (2) สาขาขนส่ง โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก (3) สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงน้ำเสียอุตสาหกรรม โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และ (4) สาขาการจัดการของเสียชุมชน โดยมีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้มีการคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ร้อยละ 33.3 จากกรณีดำเนินงานปกติ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้อีกร้อยละ 0.2 จากที่ได้รับการสนับสนุนในสาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์และสาขาการเกษตรในขณะนี้ ประเทศไทยยังต้องการการสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนจากความร่วมมือระหว่างประเทศและกลไกภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ อีกเพียง 36.40 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบ ก็จะบรรลุเป้าหมายสูงสุดของการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ในปี ค.ศ.2573 เป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ.2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี พ.ศ.2608 ก็คงอีกไม่ไกล
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะพลเมืองของประเทศและของโลก ก็ได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อส่วนรวมและต้องการร่วมลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง จึงได้มีการเริ่มเก็บข้อมูลการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปีการศึกษา 2558 เป็นต้นมา เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของจุฬาฯ ปี พ.ศ.2564-2567 และได้มีการประกาศเจตนารมณ์การลดก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัยเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ.2583 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2593 โดยมี 5 กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนผ่านจุฬาฯ ภายใต้โครงการ Chula’ 2050 Net-Zero Transition ประกอบด้วย
(1) การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน อาทิ โครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ลดการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากสายส่งร้อยละ 25
(2) การเพิ่มการฟื้นตัวระบบพลังงาน อาทิ โครงการติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ เพื่อตรวจสอบความร้อนภายในระบบ และการใช้ระบบปรับอากาศ ตลอดจนการจำกัดการใช้พลังงานในแต่ละอาคาร
(3) การสร้างการเติบโตสีเขียว อาทิ การร่วมมือวิจัยทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ รวมไปถึงการลงทุนสีเขียว เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีไร้คาร์บอน
(4) การเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิต อาทิ การสร้างระบบสาธารณูปโภคสีเขียวเพื่อกระตุ้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
(5) การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางสังคม อาทิ การจัดเสวนากลุ่ม 9 สถาบันวิจัยหลักแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง “Zero Carbon Journey: ความท้าทายของอุตสาหกรรมไทยในบริบทโลกไร้คาร์บอน” ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2568 เวลา 09.00-12.00 น. ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (จามจุรี10)
“ไม่ว่าจะประชาคมไหน เป้าหมายของสังคมไทยในบริบทโลกไร้คาร์บอน ก็คงจะไม่ใช่แค่ความเพ้อฝัน
หากทุกภาคส่วนมีความมุ่งมั่นร่วมกัน อนาคตของลูกหลานเรานั้น ก็คงจะไม่เลือนรางไปในวิกฤตโลกร้อน”
แหล่งอ้างอิง:
(1) https://www.nesdc.go.th/article_attach/Kyoto%20Protocol.pdf
(2) https://unfccc.int/documents/620602
(3) https://unfccc.int/documents/622276
(4) https://unfccc.int/documents/645098
(5) http://lowcarboncity.tgo.or.th/uploads/docs/124_20230623120017_2.pdf
(6) https://www.facebook.com/share/v/19wLEgYJ7k/
(7) https://www.facebook.com/share/v/1BR78dbmMp/
ดร.นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
———————————————————————————-————————————————————-
ที่มา : มติชน / วันที่เผยแพร่ 2 มีนาคม 2568
Link : https://www.matichon.co.th/article/news_5070337