อ่านเรื่องราวของ “เนลสัน แมนเดลา” มหาบุรุษของแอฟริกาใต้ ผู้นำพลังของ “กีฬา” มาทำลายความขัดแย้ง และสร้างความเชื่อให้คนในประเทศ
ใครๆ ก็บอกว่า “กีฬา” กับ “การเมือง” ไม่น่าจะถูกนำมายุ่งเกี่ยวกัน แต่สำหรับ เนลสัน แมนเดลา เขาบอกว่า “กีฬามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลก”
“กีฬามีพลังที่จะเป็นแรงบันดาลใจ มีพลังที่จะทำให้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในแนวทางที่อย่างอื่นน้อยนักจะทำได้”
“กีฬาพูดกับเด็กๆ ในภาษาที่พวกเขาเข้าใจ กีฬาสามารถสร้างความหวัง ซึ่งครั้งหนึ่งไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง”
“มันมีพลังมากกว่ารัฐบาลในการทำลายกำแพงของการเหยียดผิว มันหัวเราะใส่หน้าของพวกเราทุกคนด้วยความแตกต่าง”
เนลสัน แมนเดลา ไม่ใช่นักการเมือง ที่นำกีฬามาเป็นเครื่องมือเพื่อขึ้นสู่อำนาจ แต่เขาคือนักกีฬา ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ด้วยพลังของสิ่งไม่มีชีวิต แต่มีอิทธิพลต่อคนในโลก ที่เรียกว่า “กีฬา”
ในหนังสืออัตชีวประวัติ “เดอะ ลอง วอล์ค ทู ฟรีดอม” แมนเดลา เปิดเผยว่า มีความฝันในวัยเด็กคือเป็นนักมวย เพราะเมื่ออยู่ในเวที ชนชั้น, อายุ, สีผิว, ความร่ำรวย ไม่เคยถูกนำมาประกอบ
และเป็นหนทางให้เขาได้ปลดปล่อยตัวเองในการต่อสู้ที่ไม่มีความขัดแย้ง
แอฟริกาใต้ เคยเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจากการเหยียดผิว แต่ แมนเดลา ยืมพลังของกีฬา มาเปลี่ยนแปลงความเชื่อทั้งหมด
เขาเชื่อมโยงความรักความสามัคคีของคนในชาติ ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก ในปี ค.ศ. 1995
ก่อนหน้านั้น ไม่มีใครเชื่อความคิดของ แมนเดลา และความจริงก็คือ แอฟริกาใต้ คือประเทศที่แทบจะโดนแบนจากการจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ เพราะความขัดแย้ง และอันตรายของบ้านเมือง
แต่ “มาดิบา” ของชาวแอฟริกาใต้ ก็ลบล้างความเชื่อทั้งหมด และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดของคนในชาติทีละน้อย
เขาเรียกร้องให้ทั้งคนผิวสี ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ และคนขาว ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่เป็นระดับมันสมอง กลับมาสามัคคีกัน ในฐานะชาวแอฟริกาใต้ ไม่ใช่คนดำหรือคนขาว
ทีมรักบี้ของแอฟริกาใต้ มีชื่อเล่นว่า “สปริงบ็อกส์” ตอนนั้น มันคือกีฬาที่แทบจะถูกจำกัดอยู่เฉพาะคนผิวขาว ทำให้รักบี้ไม่ได้รับการเหลียวแลจากคนดำ
จึงไม่แปลกที่แทบจะไม่มีคนผิวสีคนไหนสนใจกับการจัดรักบี้ เวิลด์ คัพ ครั้งนี้
แต่ แมนเดลา สร้างเซอร์ไพร้ส์ และขัดใจคนร่วมสีผิว ด้วยการแสดงออกว่าสนับสนุน สปริงบ็อกส์ อย่างเต็มที่
และยังมีความสัมพันธ์ที่ดี และทำงานร่วมกับ ฟรังซัวส์ พีนาร์ กัปตันทีม อย่างใกล้ชิด
เป้าหมายของ แมนเดลา ก็คือเพื่อให้ พีนาร์ เป็นตัวกลางนำสารจากคนผิวสีอย่างเขาไปบอกแก่ลูกทีมผิวขาวของ พีนาร์ ว่าขอให้สู้เต็มที่เพื่อประเทศ และคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้เพื่อทุกคน
เมื่อเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่ของ “มาดิบา” คนผิวสีเริ่มเปลี่ยนใจหันมาสนใจรักบี้มากขึ้น และเมื่อ สปริงบ็อกส์ ผ่านเข้ารอบลึกมากขึ้นเรื่อยๆ รักบี้เวิลด์ คัพ ครั้งนี้ จึงกลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ของชาวแอฟริกาใต้ทุกคน
เกมนัดชิงชนะเลิศ ในวันที่ 24 มิถุนายน 1995 คือวันที่ชาวแอฟริกาใต้รอคอย และส่งใจเชียร์ สปริงบ็อกส์ ลงทำศึกกับ “ออลแบล็ก” นิวซีแลนด์ เต็ง 1
และ แอฟริกาใต้ ก็ไม่ทำให้คนทั้งชาติผิดหวัง เมื่อต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ จนเอาชนะ นิวซีแลนด์ ไปแบบสุดมัน 15-12 จุด
วินาทีที่ แมนเดลา ซึ่งใส่เสื้อ และหมวกสีเขียวของ สปริงบ็อกส์ ลงไปมอบเว็บบ์ เอลลิส โทรฟี่ ให้ พีนาร์ คือภาพที่สวยงามที่สุดภาพหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาแอฟริกาใต้ และวงการกีฬาโลก
เพราะมันคือวินาทีที่ กำแพงสูงที่ชื่อ “สีผิว” ในแอฟริกาใต้ ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ และพ่ายแพ้ให้แก่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนดำและคนขาวในชาติแบบไม่มีเงื่อนไข
หลังจากนั้น ถึงแม้ แมนเดลา จะลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1999 แต่ดอกไม้แห่งความหวัง และพลังแห่งความเชื่อได้งอกงามอยู่ในใจชาวแอฟริกาใต้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว
“คนขาว-คนดำ” จึงร่วมจับมือกันพัฒนาประเทศอย่างสุดกำลัง และแม้แต่ “ฟุตบอลโลก” ก็เคยเดินทางมาเยี่ยมเยือนทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2010
การต่อสู้ของ แมนเดลา ยาวนาน ยากเย็น ต้องใช้ความจริงใจ และความมุ่งมั่นอย่างสูง มันจึงไม่น่าแปลกใจที่มหาบุรุษผู้นี้จะได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในทุกๆ ด้าน
สำหรับวงการกีฬา แมนเดลา อาจไม่ใช่นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ หรือใครก็ตามที่มีบทบาทสำคัญ แต่เขาจะถูกจดจำตลอดไป ในฐานะของคนที่ใช้กีฬาเปลี่ยนแปลงทำให้โลกของเราน่าอยู่มากขึ้น
บทความโดย ทีมข่าวเดลินิวส์ออนไลน์
————————————————————————————————————————-
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 9 พ.ค. 2566
Link : https://www.dailynews.co.th/news/2309154/