เวียดนามคุมเข้มสื่อ สั่งปิดนิตยสารออนไลน์ 3 เดือน หลังตรวจสอบการเผยแพร่ข่าวสาร

Loading

  รอยเตอร์ – Zing News นิตยสารออนไลน์ยอดนิยมของเวียดนาม ของบริษัท VNG Corp กลุ่มบริษัทดิจิทัลชั้นนำของประเทศ ระบุว่าต้องระงับการเผยแพร่เป็นเวลา 3 เดือน หลังการตรวจสอบของรัฐบาล   เวียดนามกำลังยกระดับการปราบปรามสื่อที่มีแผนจะจำกัดบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่โพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับข่าวสาร ซึ่งรัฐบาลระบุว่าทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นสำนักข่าวที่ได้รับอนุญาต   คำแถลงที่โพสต์บนเว็บไซต์ Zing News กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ระงับการเผยแพร่ดังกล่าว บริษัทจะมุ่งเน้นที่การแก้ไขข้อบกพร่องอย่างละเอียดตามการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2562 ที่นำแผนการจัดการและพัฒนาสื่อมาใช้   แผนดังกล่าวเป็นการเพิ่มการควบคุมสื่อที่เข้มงวดขึ้น และท่ามกลางข้อจำกัดต่าง ๆ กำหนดให้หนังสือพิมพ์ต้องมีความเกี่ยวข้องกับกระทรวง และห้ามนิตยสารเผยแพร่ข่าวด่วน   Zing News ที่มีเจ้าของเดียวกันกับแอปพลิเคชันรับส่งข้อความ Zalo ได้รับอนุญาตให้เป็นนิตยสารดิจิทัล แต่เว็บไซต์ได้เผยแพร่เนื้อหาครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ที่รวมถึงข่าวด่วน และข่าวรายวัน   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สื่อถูกระงับในเวียดนาม โดยในปี 2561 เว็บไซต์ Tuoi Tre ที่ดำเนินการโดยรัฐ ต้องระงับการเผยแพร่เป็นเวลา 3 เดือนเนื่องจากโพสต์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ตามคำแถลงของรัฐบาล   เวียดนามอยู่ในอันดับที่…

ทร.ยอมรับจนท.คลังสรรพาวุธขโมยกระสุน เร่งล่าตัว-ลงโทษเด็ดขาด

Loading

  กองทัพยอมรับ จนท.คลังสรรพวุธ ขโมยกระสุนจากคลัง ผบ.ทร. สั่งตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว ย้ำลงโทษให้ถึงที่สุด   เมื่อวันที่ 15 ก.ค. พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ กล่าวชี้แจงกรณีที่เพจ CSILA เปิดเผยเอกสารทัพเรือหลุด ซึ่งอ้างว่า กระสุนปืนกลแบบ M855 และ M856 หายนับหมื่นนัด และกระสุนหัวระเบิดแบบ 40 mm นับพันหาย จากสรรพาวุธของนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยกองทัพเรือได้รับรายงานจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ว่า กรมสรรพาวุธทหารเรือได้ตรวจคลังอมภัณฑ์ กรม ร.1 พล.นย. ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า ตามวงรอบประจำปี พบว่ามีอมภัณฑ์ยอดขาดจากบัญชีจำนวนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบจำนวนอมภัณฑ์ที่ขาดไปโดยละเอียด   อย่างไรก็ตาม หลังจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินได้รับทราบเรื่อง จึงได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดและสอบถามยามรักษาการณ์ พบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่คลังสรรพาวุธฯ ของหน่วยลักลอบเปิดคลังหลายครั้ง และนำเอาอมภัณฑ์ออกไปโดยใช้กุญแจที่ลักลอบทำสำรองไว้ ซึ่งขณะนี้เจ้าตัวได้ขาดราชการ และไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน   โดยจากการสอบคำให้การของยามรักษาการณ์เข้าใจว่า เป็นการดำเนินการตามหน้าที่ปกติ และไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว นอกจากนี้ ทางหน่วยได้ให้นายทหารพระธรรมนูญของหน่วย แจ้งความลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานไว้ที่ สภ.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 7 ก.ค. และอยู่ระหว่างเพิ่มเติมพยานหลักฐาน ดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งร่วมกันสืบสวนเพื่อติดตามผู้ต้องสงสัยและอมภัณฑ์ที่สูญหาย   พล.ร.อ.ปกครอง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้สั่งการให้ตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดกรณีอมภัณฑ์หายออกจากคลังอาวุธ และได้เน้นย้ำให้ลงโทษให้ถึงที่สุด โดยขณะนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง รวมถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางละเมิด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษต่อไป   ทั้งนี้ กรณีที่มีเพจบางเพจตั้งคำถามว่าทำไมกระสุนจำนวนจึงมาหายช่วงนี้ ที่กำลังมีสงครามในประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นช่วงประชาชนกำลังไม่พอใจกับผลการลงมติของ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ตนขอชี้แจงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว ขณะเดียวกัน ขอให้ระมัดระวังในการนำเสนอข้อมูล ซึ่งอาจกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชนทั่วไปด้วย       ————————————————————————————————————————- ที่มา :       …

กรมการปกครองเตือน ระวังกลุ่มมิจฉาชีพหลอกรับทำบัตรประชาชน

Loading

  กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกลวงทำบัตรประจำตัวประชาชน และเอกสารราชการปลอม โดยมิจฉาชีพจะใช้วิธีสร้างเพจปลอมแอบอ้างว่าเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย รับทำบัตรประชาชน เมื่อมีเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินไปให้ ก็จะถูกบล็อกการติดต่อทุกช่องทาง โดยพบผู้เสียหายจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่   กรมการปกครอง ย้ำว่า การดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับงานทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างรัดกุม ชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ทุกกรณี โดยขอดำเนินการได้ที่สำนักทะเบียนท้องถิ่นหรือสำนักทะเบียนอำเภอเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงขอกำชับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายป้องกันและปราบปรามและสร้างการรับรู้ให้ประชาชน โดยขอเน้นย้ำในเรื่องสำคัญ ดังนี้   ผู้ที่จ้างหรือสั่งทำเอกสารปลอมข้างต้น ถือเป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดอาญาฐานปลอมเอกสารสิทธิและเอกสารราชการ โดยผู้ที่จ้างต้องรับโทษทางอาญาเช่นเดียวกับผู้รับจ้างที่ทำเอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 265 หรือ 266 แล้วแต่กรณี ซึ่งมีระวางโทษสูง ต้องจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ   ผู้ที่จ้างหรือสั่งทำเอกสารปลอมข้างต้น หรือผู้ใดนำเอกสารปลอมไปใช้หรืออ้างให้ผู้อื่นเชื่อว่าเป็นเอกสารจริงโดยทุจริตและปกปิดข้อเท็จจริง มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268…

อัยการ ตั้งข้อหาผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยสหรัฐฯ เป็นสายลับจีน ขายอาวุธ-น้ำมันให้อิหร่าน

Loading

  บีบีซี รายงานอ้างพนักงานอัยการของสหรัฐฯ ว่า วานนี้ (10 ก.ค.66) อัยการประจำเขตแมนแฮตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ได้ฟ้องคดีต่อศาล กล่าวหา นายกัล ลุฟต์ (Gal Luft) บุคคลสองสัญชาติคือสหรัฐฯ และอิสราเอล วัย 57 ปี ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการวิเคราะห์ความมั่นคงทั่วโลก (IAGS)ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ในความผิดฐานเป็นสายลับให้กับจีน และพยายามจะเป็นนายหน้าค้าอาวุธและน้ำมันอิหร่านโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากสหรัฐฯและพยายามหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรสหรัฐฯ ที่ห้ามซื้อขายน้ำมันจากอิหร่านโดยการกำชับให้คนใกล้ชิดบอกกับลูกค้าว่า เป็นน้ำมันจากบราซิล   คำฟ้องระบุว่า นายลุฟท์ ยินยอมที่จะดำเนินการอย่างลับ ๆ เพื่อจ้างแหล่งข่าวอดีตเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำคนก่อนของสหรัฐฯมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะในสหรัฐฯเพื่อสนับสนุนนโยบายบางเรื่องของรัฐบาลจีน นอกจากนี้ นายลุฟท์ ถูกกล่าวหาเขียนร่างบทความแสดงความเห็นในนามของแหล่งข่าวอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงดังกล่าวของสหรัฐฯ เพื่อลงพิมพ์ในสื่อของจีนและส่งไปถึงมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนในสหรัฐฯ   พนักงานอัยการสหรัฐฯ กล่าวหานายลุฟต์ พยายามจะทำหน้าที่นายหน้าค้าอาวุธ โดยมีลูกค้าอยู่ในประเทศจีน ลิเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และเคนยา แต่นายลุฟท์ ทวีตข้อความปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่พ่อค้าอาวุธ ระบุว่าเขาถูกจับในไซปรัส เป็นคดีที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองตามคำสั่งของสหรัฐฯ   นายลุฟท์…

ฝรั่งเศสผ่านร่างกฎหมาย ให้ตำรวจสอดแนมผู้ต้องสงสัยผ่านกล้อง, ไมค์ในโทรศัพท์และ GPS ได้

Loading

    Le Monde สื่อฝรั่งเศสรายงานว่า ฝ่ายนิติบัญญัติฝรั่งเศส ผ่านร่างกฎหมายที่อนุญาตให้ตำรวจสอดแนมผู้ต้องสงสัยในอาชญากรรมร้ายแรง ผ่านกล้อง ไมโครโฟน และตำแหน่ง GPS บนโทรศัพท์และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (แต่ยังไม่แน่ชัดว่าวิธีการไหน รูปแบบไหน)   อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าตำรวจจะสามารถใช้อำนาจนี้ได้ตามชอบ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้พิพากษาก่อน รวมถึงกฎหมายก็ห้ามบังคับใช้กับอาชีพนักข่าว, ทนาย และอาชีพอื่นๆ ที่มีความละเอียดอ่อน โดยจุดประสงค์ของกฎหมาย ตั้งใจจะจำกัดการใช้งานเฉพาะคดีที่ร้ายแรงเท่านั้น รวมถึงการเข้าถึงตำแหน่ง จะทำได้เฉพาะกรณีที่ความผิด มีโทษจำคุก 5 ปีขึ้นไปเท่านั้น   กฎหมายนี้สร้างความกังวลให้กับ La Quadrature du Net กลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิบนโลกออนไลน์ ซึ่งให้เหตุผลว่า กฎหมายนี้ขาดความชัดเจนว่าลักษณะใดเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง ซึ่งตำรวจอาจกำหนดเป้าหมายผู้กระทำผิดเป็นกลุ่มนักกิจกรรมและเคลื่อนไหวด้านต่าง ๆ และกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาชญากรรม   กลุ่มยังตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจอาจนำกฎหมายนี้ไปใช้กับอาชญากรรมที่มีความรุนแรงน้อยกว่า รวมถึงอาจใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ที่ใช้สอดแนม แทนที่จะหาทางแก้ไข   ขณะที่ Éric Dupond-Moretti รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม…

ราชกิจจา แพร่คำสั่ง ตร. ห้ามนำเข้า-สั่งพิมพ์หนังสือ “ปวิน”

Loading

  เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้ามนำเข้า-สั่งพิมพ์เผยแพร่หนังสือ “ปวิน”   วันที่ 7 กรกฎาคม 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 370/2566 เรื่อง “ห้ามสั่งเข้าหรือนำเข้าสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร” ที่ลงนามโดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ   โดยระบุว่าด้วยปรากฏสิ่งพิมพ์ต่างประเทศ “Rama X : The Thai Monarchy King Vajiralongkorn” เขียนโดย นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ มีลักษณะของภาพปกหนังสือและบทความที่นำเสนอสื่อถึงทัศนคติของผู้เขียน     ที่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือจะกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน   อาศัยอำนาจตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 จึงห้ามสั่งเข้า หรือนำเข้าสิ่งพิมพ์ “Rama…