ระทึก จนท.เอกวาดอร์บุกเรือนจำ ช่วยผู้คุมถูกนักโทษจับเป็นตัวประกัน

Loading

    เอกวาดอร์ส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงนับพันนายบุกเรือนจำช่วยผู้คุมที่ถูกนักโทษจับเป็นตัวประกัน ท่ามกลางการจลาจลในทัณฑสถานหลายแห่ง จน ปธน.ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน   สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ 25 ก.ค. 2566 ประธานาธิบดี กีเยร์โม ลาสโซ แห่งประเทศเอกวาดอร์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเรือนจำทั่วประเทศ และมอบอำนาจให้กองทัพยึดการควบคุมในเรือนจำกลับคืนมา หลังเกิดการจลาจลระหว่างแก๊งคู่อริที่เรือนจำกวายาส ในเมืองกวายาควิล ต่อเนื่องหลายวันจนมีผู้เสียชีวิตแล้ว 18 ศพ   การจลาจลดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นที่เรือนจำอื่น ๆ อีกหลายสิบแห่ง มีผู้คุมนับร้อยคนถูกนักโทษจับเป็นตัวประกันที่ทัณฑสถานอย่างน้อย 5 แห่ง โดยที่เรือนจำตูรี ในเมืองกูเอนกา จังหวัดอาซวย ทางตอนใต้เพียงแห่งเดียวก็มีผู้คุมถูกจับตัวเอาไว้ถึง 53 คนแล้ว   ในเวลาต่อมา นายฮวน ซาปาตา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ของประเทศเอกวาดอร์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังมีปฏิบัติการความมั่นคงขนาดใหญ่เพื่อปลดปล่อยผู้คุมที่ถูกจับเป็นตัวประกัน โดยส่งเจ้าหน้าที่กว่า 2,700 นาย ไปยังเรือนจำกวายาส และสามารถเข้าควบคุมปีกอาคารได้แล้ว 3 แห่ง แต่ไม่ระบุว่าช่วยตัวประกันได้แล้วหรือไม่   ทั้งนี้ เรือนจำหลายแห่งในเอกวาดอร์ประสบปัญหานักโทษเกินความจุ…

ทร.ยันกระสุนปืน-กระสุนหัวระเบิด หายจากคลัง ไม่เชื่อมโยงการเมืองในประเทศ

Loading

เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2566 พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่กระสุนปืนกล แบบ M855 และ M856 ที่เป็นกระสุนของปืนเล็กยาว ไรเฟิลจู่โจม ขนาด 5.56 มม. หายนับหมื่นนัด และกระสุนหัวระเบิดแบบ 40 มม. สำหรับปืนยิงเครื่องยิงลูกระเบิดนับพันหาย จาก คลังสรรพาวุธของนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า ขณะนี้ได้เข้าตรวจสอบ และได้ดำเนินการใน 3 ด้าน คือ 1.ในการ วางมาตรการ รักษาความปลอดภัย คลังอาวุธ 2. ได้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบสวน และ 3. ติดตามตัวเจ้าหน้าที่คลังคนที่เป็น ต้นเหตุซึ่งเป็นคนขโมยกระสุนปืนออกไป   โดยวานนี้ (19 ก.ค.66) ได้เข้าทำการตรวจค้นบ้านซึ่งตรวจพบกระสุนปืนอยู่บางส่วนที่ยังมีตกค้างอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้มีการลักลอบขโมยกระสุนปืนออกมาจากคลังจริง ซึ่งขณะนี้มีเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวยังหลบหนีอยู่ โดยปิดเครื่องมือสื่อสารทั้งหมด ซึ่งกรณีได้ให้ส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าไปในพื้นที่ที่คาดว่าจะหลบซ้อนตัวอยู่ ซึ่งคาดว่ายังอยู่ในประเทศ ยังไม่หลบหนีออกนอกประเทศ   โฆษกกองทัพเรือ…

กกต.-ตร.เข้มรักษาความปลอดภัย หลังเจอบุกปาน้ำปลาร้า ปิดประตูห้องรับเรื่อง-คัดกรองคนเข้าออก

Loading

กกต.-ตร.เข้มรักษาความปลอดภัยสถานที่ ปิดประตูทางเข้าห้องรับเรื่อง-คัดกรองบุคคลเข้าออก หลังชายบุกปาน้ำปลาร้าใส่ ส่วนคดีรอจนท.มาแจ้งความ   วันนี้ (21ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังวานนี้(20ก.ค.)เกิดเหตุชายสูงอายุบุกเข้าปาน้ำปลาร้าที่หน้าเคาน์เตอร์รับส่งหนังสือร้องเรียนของสำนักงานกกต. ช่วงสายวันนี้พบว่าทางสำนักงานฯได้มีการปิดประตูเข้าออกด้านหน้าห้องรับเรื่องร้องเรียน โดยให้ผู้ที่จะมายื่นหนังสือผ่านเข้าออกได้เพียงซึ่งจะต้องมีการแลกบัตรและลงชื่อกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่ดูแลรักษาความปลอดภัยประจำสำนักงานกกต.รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของอาคารศูนย์ราชการก็ได้เข้มงวดตรวจตราบุคคลเข้าออกและเดินตรวจพื้นที่บริเวณโดยรอบสำนักงานกกต.มากขึ้น   จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ของ กกต.คนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุของเมื่อวานนี้ชายสูงอายุคนหนึ่งซึ่งตนเองจำได้ว่าได้เดินทางมาที่ กกต. แล้วประมาณ3-4ครั้ง จึงไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่ชายสูงอายุคนดังกล่าวจะเดินมาปิดช่องหน้าต่างที่รับส่งหนังสือพร้อมกับปิดประตูกระจก แล้วหยิบเอาถุงปลาร้าป๋าเข้าไปที่ช่องกระจกส่งรับหนังสือทำให้ปลาร้ากระจายเปื้อนที่กระจกและพื้นด้านหน้าช่องรับส่งหนังสือ จนทำให้มีกลิ่นของปลาร้าเหม็นทั่วบริเวณดังกล่าว ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาห้าม     ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ที่ดูแลความปลอดภัยและอยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า วานนี้ตนเองสังเกตุเห็นชายคนดังกล่าวเดินเข้ามาผ่านประตูทางเข้าของอาคาร ซึ่งเคยเห็นมีพฤติกรรมมาร้องเรียนแล้วหลายครั้งจึงได้เดินตามมา แต่เมื่อมาถึงบริเวณหน้าที่เกิดเหตุชายคนดังกล่าวได้หยิบเอาน้ำปลาร้าขึ้นมาแล้วปาไปที่เคาน์เตอร์ จึงได้เข้าไปควบคุมสถานการณ์ แต่ไม่ได้ใช้กำลังเพราะชายคนดังกล่าวมีอายุมากแล้วเกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บ จึงพูดคุยและจัดทำประวัติ ทั้งนี้บริเวณสำนักงาน กกต. จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการสันติบาล มาคอยดูแลรักษาความปลอดภัยวันละ 4 นาย ส่วนบริเวณรอบนอกจะเป็น ความรับผิดชอบของตำรวจ สน. ทุ่งสองห้อง รวมถึงกองกำกับการตำรวจนครบาล2 ซึ่งในช่วงนี้ได้รับคำสั่งว่าให้สอดส่องดูแลเป็นพิเศษ   ด้านความคืบหน้าของคดี พลตำรวจตรี อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล2 กล่าวว่า ขณะนี้รู้ตัวผู้ที่ก่อเหตุแล้วเป็นชายสูงอายุ อยู่ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่…

ผู้ประท้วงอิรักบุกโจมตี ‘สถานทูตสวีเดน’ ในแบกแดด แค้นจะปล่อยให้มีการ ‘เผาอัลกุรอาน’ รอบสอง

Loading

  ผู้ประท้วงชาวอิรักหลายร้อยคนบุกโจมตีสถานทูตสวีเดนประจำกรุงแบกแดดเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา (20 ก.ค.) โดนปีนกำแพงเข้าไปด้านใน และจุดไฟเผาอาคาร เพื่อประท้วงกิจกรรมเผาคัมภีร์อัลกุรอานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งที่สวีเดนเร็วๆ นี้ สำนักงานสื่อมวลชนของกระทรวงการต่างประเทศสวีเดนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตทุกคนปลอดภัยดี พร้อมทั้งประณามเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทางการอิรักเพิ่มมาตรการคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่คณะทูตต่างประเทศ   ปฏิบัติการบุกเผาสถานทูตครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มผู้สนับสนุนมุกตาดา ซัดร์ (Muqtada Sadr) นักการศาสนาชาวชีอะห์ เพื่อต่อต้านกิจกรรมเผาพระคัมภีร์อัลกุรอานที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่สวีเดน ภายในเวลาห่างกันไม่กี่สัปดาห์ คลิปวิดีโอที่โพสต์ลงกลุ่ม One Baghdad ในแอปเทเลแกรมจะเห็นว่ามีกลุ่มผู้ประท้วงไปปิดล้อมสถานทูตสวีเดนตั้งแต่เวลาราว 1.00 น. พร้อมทั้งป่าวร้องสโลแกนยกย่อง ซัดร์ ก่อนจะบุกเข้าไปในเขตสถานทูตในอีก 1 ชั่วโมงให้หลัง   คลิปวิดีโอที่มีการโพสต์ต่อมาเผยให้เห็นกลุ่มควันลอยขึ้นจากอาคารสถานทูต และมีผู้ประท้วงบางส่วนขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคา ซัดร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอิรักเคยปลุกระดมเหล่าสาวกนับแสนคนให้มาลงถนนประท้วงมาแล้ว รวมถึงเมื่อฤดูร้อนปีกลายที่ผู้ประท้วงกลุ่มนี้บุกยึดพื้นที่กรีนโซน (Green Zone) และเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุปะทะรุนแรง   กระทรวงการต่างประเทศอิรักได้ออกคำแถลงประณามการบุกสถานทูตสวีเดน และยืนยันว่ารัฐบาลได้สั่งให้กองกำลังความมั่นคงดำเนินการสอบสวน และระบุตัวตนผู้กระทำความผิด เพื่อนำตัวมาลงโทษตามกฎหมาย เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ซัดร์ ได้เรียกระดมเหล่าสาวกออกมาประท้วงต่อต้านสวีเดน และขับไล่เอกอัครราชทูตสวีเดน หลังจากที่มีนักเคลื่อนไหวชาวอิรักคนหนึ่งจุดไฟเผาอัลกุรอานที่มัสยิดกลางในกรุงสตอกโฮล์ม   ล่าสุด สำนักข่าว…

กสทช.ถกแก้ปัญหาสัญญาณเน็ตชายแดน หลังพบมิจฉาชีพลอบใช้กระทำผิดกฎหมาย

Loading

  เร่งแก้ปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตบริเวณชายแดนในฝั่งไทย พบอาจเอื้อต่อกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพ ลักลอบนำสัญญาณไปใช้กระทำผิดกฎหมาย ชี้การตัดสัญญาณไม่ใช่ทางออก กระทบคนใช้สุจริต   รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. ได้จัดประชุมคณะทำงานกำหนดแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับความผิดทางเทคโนโลยี โทรคมนาคมและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 โดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตบริเวณชายแดนในฝั่งไทย ซึ่งพบว่า อาจเอื้อต่อกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ที่ลักลอบนำสัญญาณไปใช้กระทำผิดกฎหมาย   โดยที่ประชุมคณะทำงานฯ ในส่วนผู้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบจับกุม และผู้กำหนดแนวทางในการดูแลปัญหา ได้มีการหารือเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา และหามาตรการที่เกิดสมดุลในการบังคับใช้กฎหมาย การดำเนินคดีกับมิจฉาชีพ และการไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้บริโภคในพื้นที่ชายแดน เนื่องจากการกระทำผิดของมิจฉาชีพมีความซับซ้อนและใช้เทคนิคกลโกงขั้นสูงมากขึ้น เช่น ใช้ช่องว่างของสัญญาณให้บริการของโอเปอเรเตอร์ที่มีความแรงข้ามขายแดน ในการกระทำความผิด ใช้บริการ ไว-ไฟ จากฝั่งไทยยิงสัญญาณข้ามชายแดนไปจุดที่ตั้งของคอลเซ็นเตอร์เถื่อน และใช้ ซิม บ็อกซ์ หรือ เบส สเตชั่น ปลอม เพื่อยิงเอสเอ็มเอสหลอกลวง ว่ามาจากผู้ห้บริการเครือข่าย ฯลฯ   แหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวว่า ทาง กสทช. ได้สั่งให้ สำนักงาน กสทช. ในเขตพื้นที่ตามแนวชายแดน ดำเนินการกำกับดูแลในเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยพนักงาน กสทช. ในพื้นที่ จะประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการไม่ให้ส่งสัญญาณได้ โดยที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วหลายครั้ง เท่าที่ทราบกรณีที่เกิดขึ้นมีทั้งฝั่งชายแดน ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งติดกับประเทศเมียนมา และ สปป.ลาว บริเวณ จ.นครพนม รวมถึงเสาที่ตั้งบริเวณใกล้บ่อนการพนัน กรณีที่ได้ดำเนินการไปแล้ว จะเป็นเสาที่ลักลอบตั้งขึ้นอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ทันที   “เมื่อมิจฉาชีพใช้กลโกงที่ซับซ้อน เจ้าหน้าที่ต้องสังเกตและรู้เท่าทันกลโกง การจะตัดสัญญาณสื่อสารบริเวณชายแดน ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะจะเกิดผลกระทบต่อผู้ที่ใช้บริการโดยสุจริต เจ้าหน้าที่ของไทยทราบว่า คอลเซ็นเตอร์เถื่อนตั้งอยู่ที่ไหนแต่เอาผิดไม่ได้ เพราะกฎหมายของไทยกับเพื่อนบ้านแตกต่างกัน ในอนาคตมีความจำเป็นต้องมีคณะทำงานร่วมเพื่อจัดการกับปัญหาอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการที่เข้มข้นขึ้น แต่ไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย”       ————————————————————————————————————————————————— ที่มา :                   …

ตำรวจเวลส์ชี้เทคโนโลยีจำใบหน้าช่วยจับอาชญากรมาลงโทษได้

Loading

  สำนักงานตำรวจในเขตเซาต์เวลส์ของสหราชอาณาจักร (SWP) รายงานว่าการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าแบบย้อนหลังทำให้เบาะแสมากกว่า 140 รายการภายในเดือนเดียว   เจเรมี วอแกน (Jeremy Vaughan) ผู้บัญชาการ SWP เผยว่าเทคโนโลยีนี้ใช้เฉพาะในกรณีอาชญากรรมร้ายแรงอย่างการข่มขืนเท่านั้น โดยตรวจจับผู้กระทำผิดในสถานที่และยานพาหนะต่าง ๆ   แหล่งข้อมูลของเทคโนโลยีนีนี้คือกล้อง CCTV โทรศัพท์มือถือ และโซเชียลมีเดีย โดยนำมาเทียบกับภาพที่ SWP และตำรวจเมืองเกวนต์มีกว่า 600,000 ภาพ   วอแกนยังบอกอีกว่ามีการกำหนดขั้นตอนและมาตรการสำหรับการใช้เทคโนโลยีอย่างรัดกุม และไม่มีการเก็บข้อมูลประชาชน   อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการเลือกปฏิบัติต่อคนบางกลุ่ม   ซึ่งวอแกนชี้ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองประชาชน และใช้ตามกรอบของกฎหมายเท่านั้น แต่ก็สนับสนุนให้มีหลักเกณฑ์ภายในเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด     ที่มา Biometric Update         ————————————————————————————————————————————————— ที่มา :           …