สนามบินญี่ปุ่นจะใช้เทคโนโลยี “สแกนใบหน้า” ในระบบตรวจคนเข้าเมือง

Loading

กระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นจะติดตั้งเทคโนโลยี “จดจำใบหน้า” ตามสนามบินต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2019 นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าออกประเทศญี่ปุ่นจะผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองโดยการสแกนใบหน้า ซึ่งเมื่อคอมพิวเตอร์เทียบข้อมูลกับภาพถ่ายที่เข้ารหัสไว้ในไมโครชิปที่ฝังไว้ในหนังสือเดินทางแล้ว ประตูอัตโนมัติก็จะเปิดออก ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียง 15 วินาทีเท่านั้น และภาพถ่ายใบหน้าที่สแกนไว้จะถูกลบทันทีเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้นเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล เทคโนโลยี “จดจำใบหน้า” จะถูกนำมาใช้ตามสนามบินหลักทั่วประเทศญี่ปุ่นในปี 2019 เพื่อลดเวลาต่อแถวในการตรวจคนเข้าเมือง และจะได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติภารกิจอื่น เช่น การป้องกันการก่อการร้าย ในช่วงก่อนที่กรุงโตเกียวจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2020 ปัจจุบันมีเครื่องสแกนใบหน้าติดตั้งอยู่ที่สนามบินฮาเนดะจำนวน 3 เครื่อง แต่จะเพิ่มเป็น 137 เครื่องในปีหน้า และยังจะติดตั้งในสนามบินนาริตะ, สนามบินชูบุ, สนามบินคันไซ และสนามบินฟุกุโอกะ เมื่อปี 2007 ญี่ปุ่นได้ใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือในการตรวจคนเข้าเมือง แต่กลับมีชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวใช้เพียงแค่ร้อยละ 7.9 เท่านั้น เนื่องจากต้องลงทะเบียนลายนิ้วมือก่อน แต่ระบบสแกนใบหน้านี้เป็นการเปรียบเทียบกับภาพในหนังสือเดินทาง ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใดๆ รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าจะให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเยือนญี่ปุ่น 40 ล้านคนในปี 2020 จึงจำเป็นใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมือง ธนาคารก็ใช้ “สแกนใบหน้า” แทนรหัสลับ เทคโนโลยี “จดจำใบหน้า” ยังกำลังถูกทดลองใช้โดยธนาคารต่างๆ ในญี่ปุ่นเพื่อยืนยันตัวตน โดยให้เจ้าของบัญชีใช้กล้องบนสมาร์ทโฟนถ่ายภาพตัวเอง…

กรมสรรพากรเตือนอย่าเชื่อจดหมายเรียกสำเนาบัตรประชาชนเพื่อขอคืนภาษี

Loading

กรมสรรพากร แจ้งเตือนกรณีที่มีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล์ ถึงผู้เสียภาษีบางราย หัวเรื่อง เรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม โดยขอให้ผู้เสียภาษีส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ผ่านทาง www.e-revenue.go.th พร้อมกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ นั้น กรมสรรพากร ขอเรียนว่า กรมสรรพากร ไม่มีนโยบายการขอสำเนาบัตรประชาชนจากผู้เสียภาษี และหากมีการขอหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาคืนภาษี กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้เสียภาษีนำส่งเอกสารหลักฐานผ่าน 4 ช่องทาง ดังนี้ 1 ทางโทรสาร ตามหมายเลขที่ได้รับแจ้ง 2. ทางไปรษณีย์ 3. ด้วยตนเอง 4. เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ด้วยรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านเดียวกับการยื่นแบบฯ ผ่านอินเทอร์เน็ต หากผู้เสียภาษีได้รับจดหมายขอให้ส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษี โปรดอย่าหลงเชื่อ สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยขอให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ ในวันและเวลาราชการ   —————————————————————————————- ที่มา : เว็บไซต์ จส.100 / วันที่ 6…

สนามบินสิงคโปร์ชางงีเริ่มทดสอบระบบจำแนกใบหน้าเพื่อตามหาตัวผู้โดยสารที่ไม่มาขึ้นเครื่อง

Loading

  ปัญหาของผู้โดยสารหายไม่มาขึ้นเครื่องจนสายการบินต้องประกาศตามนั้นเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เที่ยวบินล่าช้า เนื่องจากผู้โดยสารอาจกำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ภายในสนามบินจนอาจลืมดูเวลาไม่ได้มาขึ้นเครื่องบินตามกำหนด ล่าสุดท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงีเริ่มทดสอบระบบจำแนกใบหน้าเพื่อตามหาผู้โดยสารหายมาใช้งานในสนามบินแล้ว โดยจะใช้ภาพจากกล้องเปรียบเทียบกับภาพบุคคลในฐานข้อมูลเพื่อตามผู้โดยสารที่อยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ของท่าอากาศยานให้มาขึ้นเครื่อง เพื่อลดระยะเวลาล่าช้าของเที่ยวบินลง Steve Lee หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของกลุ่มท่าอากาศยานชางงีกล่าวว่า “เรามีรายงานผู้โดยสารที่หายไปจำนวนมาก ดังนั้นหนึ่งในวิธีที่เราคิดได้คือจะต้องสืบและค้นหาผู้โดยสารที่กำลังจะเดินทาง แน่นอนว่าจะต้องได้รับอนุญาตจากสายการบินด้วย” ปัจจุบัน T4 ซึ่งเป็นเทอร์มินัลใหม่ของสนามบินชางงีก็ได้นำมาใช้ในระบบบริการตนเองบ้างแล้ว เช่น เช็คอิน, แบ็คดรอป, ตรวจคนเข้าเมือง, ขึ้นเครื่องบิน ซึ่งท่าอากาศยานก็เตรียมนำระบบจำแนกใบหน้ามาปรับปรุงใช้ในเทอร์มินัล 1-3 ด้วย ซึ่ง Lee บอกว่าในอนาคตอาจจะสามารถใช้ไบโอเมตริกแทนพาสปอร์ตได้ Lee เผยว่านอกจากระบบรู้จำใบหน้าแล้ว ท่าอากาศยานชางงียังทดสอบเทคโนโลยีใหม่อยู่เรื่อย ๆ อย่างเช่นการใช้เซนเซอร์ตรวจสอบเมื่อเครื่องบินถอยกลับจากเกทหรือเมื่อเทคออฟ ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้ประสิทธิภาพการตัดสินใจสั่งการบนหอบังคับการบินดีขึ้น และลดเวลา taxiing ของเครื่องบินลงได้ถึง 90 วินาทีต่อเที่ยวในช่วงพีค หรือระบบ AI ที่ทำนายสภาพอากาศ, ลม และเส้นทางการแลนดิ้งของเครื่องบินเพื่อทำนายเวลาถึงสนามบินได้แม่นยำขึ้น   —————————————————————————————————————– ที่มา : Blognone nutmos / วันที่ 1…

“WhatsApp” เพิ่มอายุขั้นต่ำของผู้ใช้ในยุโรป

Loading

  WhatsApp แอพพลิเคชั่นสนทนายอดนิยม ซึ่งมี Facebook เป็นเจ้าของ ประกาศเพิ่มอายุขั้นต่ำของผู้ใช้ในสหภาพยุโรป (EU )จาก 13 ปี เป็น 16 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับกฏหมายปกป้องข้อมูลส่วนตัวฉบับใหม่ ซึ่งจะกำหนดบังคับใช้ในเดือนหน้า ในอีกไม่กี่สัปดาห์ บริษัท WhatsApp Ireland Ltd จะให้ผู้ใช้ใน EU ยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการ (terms of service) และนโยบายความเป็นส่วนตัว (privacy policy) ฉบับใหม่ และผู้ใช้จะต้องยืนยันว่ามีอายุอย่างน้อย 16 ปี WhatsApp ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2009 ได้รับความกดดันจากรัฐบาลของ EU ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องมาจากการเปิดใช้ระบบข้อความแบบ end-to- end encrypted messaging หรือระบบเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง และแผนการที่จะแชร์ข้อมูลต่อ Facebook ซึ่งเป็นบริษัทแม่อีกด้วย ในขณะที่ Facebook เอง ก็ถูกเจ้าหน้าที่จากทั่วโลกตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากข้อมูลของผู้ใช้งานหลายล้านคนถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง…

NSA เก็บข้อมูลการคุยโทรศัพท์ของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าปีที่แล้ว

Loading

  สำนักด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NSA เปิดเผยรายงานการเก็บรวบรวมข้อมูลการพูดคุยทางโทรศัพท์ของคนอเมริกันมากกว่า 500 ล้านครั้ง เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ. 2016 กว่า 3 เท่า รายงานของ NSA ระบุว่า ปีที่ผ่านมาได้มีการรวบรวมข้อมูลการพูดคุยโทรศัพท์ของคนอเมริกันทั้งหมด 534 ล้านครั้ง เพิ่มจากจำนวน 151 ล้านครั้ง เมื่อ 2 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม ไม่มีการระบุว่าทำไมตัวเลขดังกล่าวจึงเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในปี ค.ศ. 2017 สองปีที่ผ่านมาคือสองปีแรกของการใช้ระบบใหม่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการพูดคุยสื่อสารของคนอเมริกัน ตามกฎหมายที่ผ่านการรับรองของรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2015 ซึ่งจำกัดการรวบรวมข้อมูลปริมาณมาก หลังจากที่นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เด้น อดีตลูกจ้างชั่วคราวของ NSA เปิดเผยเรื่องการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของคนอเมริกันให้สาธารณชนรับรู้ รายงานของ NSA ระบุว่า ข้อมูลที่ NSA เก็บรวบรวมนั้น รวมถึง หมายเลขโทรศัพท์ และระยะเวลาที่คุย แต่ไม่รวมเนื้อหาในบทสนมนาที่คุยกันแต่อย่างใด   ———————————————————————————————————————————————— ที่มา :…

ผู้ใช้ทวิตเตอร์ 330 ล้านราย ถูกเตือนให้เปลี่ยนพาสเวิร์ด หลังเกิดข้อขัดข้องทางเทคนิคในบริษัท

Loading

  ทวิตเตอร์เตือนผู้ใช้ 330 ล้านรายให้เปลี่ยนพาสเวิร์ด หลังจากเกิดปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้ระบบภายในบริษัทแสดงผลพาสเวิร์ดจริงของผู้ใช้จำนวนมากให้พนักงานบริษัทเห็น ทวิตเตอร์กล่าวว่าจากการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่พบว่าพาสเวิร์ดเหล่านั้นรั่วไหลออกไปสู่คนภายนอก หรือถูกพนักงานบริษัทนำไปใช้ในทางที่ไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เรียกร้องให้ผู้ใช้พิจารณาเปลี่ยนพาสเวิร์ดของตนเอง “เพื่อเป็นการระวังเหตุไว้ก่อน” ทางทวิตเตอร์ไม่ได้ระบุว่าพาสเวิร์ดของผู้ใช้จำนวนเท่าไรที่ได้รับผลกระทบจากเหตุนี้ บอกเพียงแต่ว่าจำนวนน่าจะ “มากมาย” และก็เหตุนี้ทำให้พนักงานภายในเห็นพาสเวิร์ดผู้ใช้มา “หลายเดือน” แล้ว แหล่งข่าวภายในของสื่อโซเชียลรายนี้บอกกับรอยเตอร์สว่าค้นพบปัญหาหลายสัปดาห์ก่อน และได้รายงานต่อหน่วยงานกำกับดูแลแล้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แจ็ค ดอร์ซี ทวีตว่า เราได้ค้นพบปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้พาสเวิร์ดของผู้ใช้ปรากฎขึ้นในระบบภายในของบริษัท ก่อนที่กระบวนการบังข้อมูลไม่ให้ใครเห็นเหล่านั้นจะเสร็จสิ้นลง เราได้แก้ไขปัญหาไปแล้ว และไม่พบข้อบ่งชี้ว่ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิด และเชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเปิดเผยปัญหาทางเทคนิคนี้ออกมา ข้อผิดพลาดทางเทคนิคนั้นเกิดจากการใช้ ระบบ hashing ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยที่เปลี่ยนพาสเวิร์ดของผู้ใช้ไปเป็นอย่างอื่นเพื่อมิให้คนภายในบริษัทเห็นว่าพาสเวิร์ดที่แท้จริงนั้นคืออะไรขณะที่ผู้ใช้กำลังเข้ารหัสอยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้พาสเวิร์ดจริงถูกบันทึกไว้ในระบบภายในของบริษัทก่อนที่จะกระบวนการ hashing จะเสร็จสิ้น     นอกจากคำเตือนให้เปลี่ยนพาสเวิร์ดแล้ว ทวิตเตอร์ยังเตือนให้ผู้ใช้เปิดใช้ ฟังก์ชั่น two-factor authentication เพื่อป้องกันการแฮ็คข้อมูลอีกด้วย ก่อนหน้านี้ หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของทวิตเตอร์ ปารัก อักราวัล กล่าวว่า ที่จริงบริษัทไม่จำเป็นจะต้องบอกเรื่องนี้กับผู้ใช้ แต่ทางบริษัทเชื่อว่ามันสิ่งที่ “ควรทำ” อย่างไรก็ตามเขาก็ออกมาขอโทษ โดยกล่าวว่า “ผมไม่ควรใช้คำว่า เราไม่จำเป็นต้องบอกกับผู้ใช้ ซึ่งจริง…