เอสโตเนียตรวจสุขภาพถึงระดับดีเอ็นเอให้ประชาชนฟรีแห่งแรกของโลก

Loading

รัฐบาลเอสโตเนียเริ่มดำเนินโครงการดูแลสุขภาพพลเมือง โดยให้บริการตรวจวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมฟรีแล้วในเดือนนี้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะทำให้ประชาชนทุกคนได้รับการตรวจดีเอ็นเอโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะได้รับคำแนะนำในการดูแลรักษาสุขภาพจากผลวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมของตนเองอย่างละเอียดด้วย โครงการนำร่องในระยะแรกจะให้บริการตรวจดีเอ็นเอฟรีกับประชาชน 1 แสนคน หรือราว 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศที่มีอยู่ 1.3 ล้านคน โดยถือเป็นชาติแรกของโลกที่ให้บริการสาธารณสุขในลักษณะนี้กับพลเมืองอย่างถ้วนหน้า ข้อมูลทางพันธุกรรมของชาวเอสโตเนียแต่ละคน จะถูกนำไปวิเคราะห์เปรียบเทียบกับฐานข้อมูลยีนกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคหลายแสนตัว เพื่อให้ทราบว่าแต่ละคนมีความเสี่ยงทางสุขภาพในด้านใดบ้าง จากนั้นข้อมูลนี้จะถูกบันทึกไว้ในแฟ้มรายงานข้อมูลพันธุกรรมส่วนบุคคล ซึ่งจะเชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศสุขภาพแห่งชาติเอสโตเนีย (ENHIS) ในอนาคต ชาวเอสโตเนียที่ผ่านการตรวจวิเคราะห์ดีเอ็นเอแล้ว สามารถนำข้อมูลที่ได้เข้าปรึกษากับแพทย์ประจำครอบครัว เพื่อขอคำแนะนำเรื่องสุขภาพและวิถีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่ตนมีความเสี่ยงสูงตามที่ข้อมูลพันธุกรรมได้บ่งชี้เอาไว้ เช่นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคอัลไซเมอร์ ในขณะเดียวกัน แพทย์ผู้ทำการรักษาบุคคลดังกล่าวในอนาคต ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลพันธุกรรมนี้ได้โดยสะดวกจากระบบสารสนเทศกลาง ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นับแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เอสโตเนียได้เริ่มเก็บข้อมูลพันธุกรรมของประชาชนเข้าใน “ธนาคารชีวภาพ” (Biobank) ไปแล้ว 50,000 ราย ทางการหวังว่าโครงการนำร่องตรวจวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมของพลเมืองในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มทรัพยากรข้อมูลพันธุกรรมในธนาคารชีวภาพขึ้นอีกอย่างน้อย 3 เท่า และสามารถเก็บข้อมูลพันธุกรรมของประชากรทั้งประเทศได้ในอีกหลายปีข้างหน้า ก่อนหน้านี้เอสโตเนียเป็นประเทศขนาดเล็กในแถบยุโรปเหนือที่ขึ้นชื่อเรื่องความก้าวล้ำนำสมัยของนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และมุ่งพัฒนาตนเองให้เป็นสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โครงการล่าสุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการยกเครื่องระบบสาธารณสุขให้มีความทันสมัย และสามารถให้การดูแลรักษาสุขภาพที่เหมาะสมที่สุดกับแต่ละบุคคลได้ มีหลายประเทศที่รัฐให้บริการตรวจดีเอ็นเอฟรีแก่ประชาชนเช่นกัน โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบประกันสุขภาพหรือโครงการธนาคารชีวภาพ เช่นในสหราชอาณาจักร ไอซ์แลนด์…

สหรัฐฯ อาจขอประวัติการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของผู้ยื่นวีซ่า

Loading

  รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่าต้องการเริ่มเก็บข้อมูลประวัติการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของเกือบทุกคนที่จะขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ข้อเสนอที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อาจทำให้ผู้ที่จะยื่นขอวีซ่า ต้องให้รายละเอียดเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยต้องระบุบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ทุกอย่างที่เคยใช้ย้อนหลังในระยะเวลาห้าปี ซึ่งข้อเสนอนี้ อาจทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบราว 14.7 ล้านคนต่อปี ข้อมูลที่ได้ จะถูกนำไปใช้ระบุตัวบุคคลและตรวจสอบผู้ที่ยื่นขอวีซ่าทั้งระยะยาวและระยะสั้น นอกจากนี้ ผู้ยื่นคำร้องจะถูกถามประวัติหมายเลขโทรศัพท์ อีเมล และการเดินทางย้อนหลังห้าปี รวมถึงต้องตอบคำถามว่าเคยถูกเนรเทศออกจากประเทศใดหรือไม่ และมีญาติเคยเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือไม่ ข้อเสนอนี้จะเป็นภาระเพิ่มเติมกับผู้เดินทางจากประเทศที่ไม่มีข้อตกลงยกเว้นวีซ่าเข้าสหรัฐฯ     อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบกับผู้ที่เป็นพลเมืองจากประเทศซึ่งมีข้อตกลงยกเว้นวีซ่าเข้าสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส และเยอรมนี แต่พลเมืองของประเทศที่ไม่มีข้อตกลงยกเว้นวีซ่าอย่าง อินเดีย จีน เม็กซิโก (และไทย) อาจต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทั้งเพื่อท่องเที่ยวและทำงาน   จุดยืนในการขอข้อมูลสื่อสังคมออนไลน์ ภายใต้กฎที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าเจ้าหน้าที่จะขอข้อมูลสื่อสังคมออนไลน์ของผู้ยื่นคำร้อง เฉพาะแต่ในกรณีที่เห็นว่า “ข้อมูลเหล่านี้จำเป็นต่อการยืนยันตัวบุคคล หรือเพื่อตรวจสอบอย่างเข้มงวดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ“ ทั้งนี้ ข้อเสนอที่เข้มงวดขึ้นออกมาหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ สัญญาจะใช้ “มาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดมาก” กับชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยอ้างเหตุผลเรื่องต่อต้านการก่อการร้าย หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ รายงานถ้อยคำในแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ…

วีซ่าเริ่มใช้ข้อมูลชีวมาตรกับบริการบัตรเครดิต

Loading

  บริษัทวีซ่าจะใช้ลายพิมพ์นิ้วมือแทนรหัสล็อกและลายเซ็นเต่หลายคนกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัย   ปัจจุบัน เราใช้ลายพิมพ์นิ้วมือเปิดล็อคประตู โทรศัพท์มือถือ เเละอุปกรณ์อื่นๆ ได้แล้ว แต่ผู้บริโภคพร้อมหรือยังที่จะใช้ลายพิมพ์นิ้วมือในการจ่ายเงิน บริษัทวีซ่า (VISA) ยักษ์ใหญ่ด้านการบริการทางการเงิน มองว่า ลูกค้าพร้อมเเล้วที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางชีวมาตร หรือ biometrics ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะทางกายภาพเพื่อแสดงตน เเต่ยังมีข้อสงสัยกันว่า เทคโนโลยีนี้ มีความปลอดภัยเเค่ไหน บริษัทวีซ่าที่ให้บริการบัตรเครดิต บัตรเดบิท เเละบัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ได้เริ่มต้นทดสอบการใช้งานบัตรต่างๆ ที่มีตัวอ่านลายพิมพ์นิ้วมือฝังไว้ภายใน ผู้ใช้เพียงกดนิ้วมือลงบนเครื่องเซ็นเซอร์ และอาจจะเสียบบัตรเข้าไปที่ช่องอ่านชิพ หรือถือบัตรไว้เหนือจุดจ่ายเงิน การใช้ลายพิมพ์นิ้วมือช่วยให้ลูกค้าข้ามขั้นตอนที่ต้องระบุ รหัสล็อก หรือ PIN หรือไม่ต้องเขียนลายเซ็นลงไปที่ใบสั่งจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการ ลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ใช้บัตรเครดิตจะถูกเปรียบเทียมกับลายพิมพ์นิ้วมือที่เข้าระบบเอาไว้ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่เก็บไว้ในชิrของบัตรเครดิต เพื่อสร้างรหัสแบบสุ่มที่เรียกว่า คริพโตแกรม (cryptogram) และสีเเดงหรือสีเขียวบนตัวบัตรจะช่วยระบุว่าลายนิ้วมือของผู้ใช้ตรงกับลายนิ้วมือในบัตรหรือไม่ Matt Smith ประธานฝ่าย platform strategy ที่ VISA กล่าวว่า บัตรเครดิตนั้นๆ จะถูกตั้งให้ใช้ข้อมูลชีวมาตรที่เป็นลายพิมพ์นิ้วโป้ง เพราะลายพิมพ์นิ้วมือของเเต่ละคนไม่เหมือนกัน เเละจะออกคำสั่งให้ตอบรับเมื่อลายพิมพ์นิ้วมือตรงกับที่บันทึกเอาไว้ในบัตรเเละปฏิเสธเมื่อไม่ตรงกัน สำหรับลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตร่วมกับคนอื่นๆ การสั่งจ่ายเงินจะกลับไปใช้ระบบระบุรหัสล็อก หรือเขียนลายเซ็นแทน บริษัทวีซ่าไม่ได้เป็นบริษัทที่ใช้ระบบจ่ายเงินดิจิตัลบริษัทเเรกที่ต้องการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทาง…

เพลิงไหม้ จลาจล ตายหมู่ เหตุร้ายที่เกิดบ่อยในคุกเวเนซุเอลา

Loading

  จลาจลและเพลิงไหม้ในรัฐการาโบโบ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 70 คน คือโศกนาฏกรรมครั้งที่ 5 ที่เกิดขึ้นกับห้องคุมขังและเรือนจำในรอบ 6 ปี ของเวเนซุเอลา เจ้าหน้าที่ทางการระบุว่า เหตุจลาจลและเพลิงไหม้ที่สถานีตำรวจในเมืองวาเลนเซีย ในรัฐการาโบโบ ของเวเนซุเอลา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 68 คน หลัง นักโทษในห้องขังจุดไฟเผาที่นอน เพื่อพยายามหลบหนีออกมาเมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่น ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมของญาตินักโทษ ซึ่งมาล้อมสถานีตำรวจหลังทราบข่าวเพลิงไหม้   เกิดอะไรขึ้นที่สถานีตำรวจ? ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการถึงเหตุการณ์แวดล้อมเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น สมาคมอูนา เวนตานา อะ ลา ลิเบร์ตัด (หน้าต่างเสรีภาพ) ซึ่งสังเกตการณ์สภาพความเป็นอยู่ของห้องขังต่าง ๆ ระบุว่า จากรายงานที่ทางสมาคมได้รับ ผู้ถูกควบคุมตัวอยู่คนหนึ่งได้ยิงตำรวจนายหนึ่งที่ขา และหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการจุดไฟเผาที่นอน และไฟก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว เฆซุส ซานตานเดร์ เจ้าหน้าที่ทางการของรัฐการาโบโบ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถูกยิงหลังจากเกิดเพลิงไหม้ด้วย โดยขณะนี้สามารถควบคุมเพลิงไหม้ไว้ได้แล้ว มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องทุบกำแพงเพื่อพยายามช่วยผู้ที่ติดอยู่ในเปลวเพลิงออกมา ตาเร็ก ซาอับ หัวหน้าอัยการรัฐ กล่าวว่า ผู้ที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นนักโทษ แต่มีผู้หญิงอย่างน้อย 2…

ไฟแดง! Facebook เลิกอนุญาตบริษัทอื่นผสมข้อมูลออฟไลน์เพื่อ targeting โฆษณา

Loading

  เฟซบุ๊ก (Facebook) เครือข่ายสังคมเบอร์ 1 ของโลกกำลังเร่งกำจัดจุดอ่อนของตัวเองเพื่ออุดช่องโหว่ป้องกันข้อมูลผู้ใช้รั่วไหล ล่าสุด ประกาศปิดบริการ “พาร์ตเนอร์แคทากอรีส์” (Partner Categories) ซึ่งเปิดให้บริษัทอื่นที่เป็นพันธมิตร ผสมข้อมูลออฟไลน์เข้ากับข้อมูลผู้ใช้ Facebook เพื่อนำไปทำกิจกรรมทางการตลาดโดยเฉพาะการกำหนดกลุ่มเป้าหมายโฆษณา นอกจากนี้ Facebook ยังปรับใหม่หน้าตั้งค่า หรือ Setting ของตัวเอง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถกำหนดความเป็นส่วนตัวได้ง่ายขึ้น ท่ามกลางรายงานข่าวของสื่อสหรัฐฯ ที่มองว่า Facebook ได้ปรับให้ผู้ใช้ลบทิ้งบัญชีของตัวเองได้ง่ายขึ้นด้วย   หน้าใหม่ง่ายกว่าเดิม ในเวลาที่ Facebook ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษเรื่องความเสี่ยงข้อมูลผู้ใช้รั่วไหล ล่าสุด Facebook ประกาศปรับปรุงหน้าการตั้งค่าผู้ใช้งาน 4 ด้าน เพื่อแก้ปัญหาผู้ใช้บางส่วนสับสน หาทางเข้าไปตั้งค่าความเป็นส่วนตัวไม่พบหรือพบได้ยาก การปรับปรุง 4 ด้านของ Facebook ประกอบด้วยการยุบรวมเมนูการตั้งค่า Settings ทั้งหมดให้ค้นหาได้จากหน้าเดียว, การเพิ่มเมนูทางลัดให้ผู้ใช้ค้นหาและจัดการง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มเมนูใหม่ให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลของตัวเอง (Access Your Information) ซึ่งผู้ใช้สามารถค้นหา จัดการ ดาวน์โหลด และลบ…

สหรัฐฯ-อียูพร้อมใจขับทูตรัสเซียกว่าร้อยคน ตอบโต้เหตุวางยาพิษอดีตสายลับ

Loading

  รัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งชาติพันธมิตรและชาติที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ทั้งสิ้น 23 ประเทศ สั่งขับนักการทูตรัสเซียออกจากดินแดนของตนแล้วอย่างน้อย 116 คน เพื่อเป็นการตอบโต้กรณีที่เชื่อว่าทางการรัสเซียลอบวางยาพิษอดีตสายลับในสหราชอาณาจักร ซึ่งต่างมองกันว่าเป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาคยุโรปและอเมริกา เชื่อกันว่าคำสั่งของหลายประเทศในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ขับนักการทูตและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของรัสเซียในต่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากที่นายเซอร์เก สกริปาล อดีตสายลับแปรพักตร์ของรัสเซียซึ่งปัจจุบันเป็นพลเมืองอังกฤษ และนางสาวยูเลียบุตรสาวของเขาถูกลอบทำร้ายด้วยสารพิษทำลายประสาทที่เมืองซอลส์บรีของสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา นอกจากสหรัฐฯจะสั่งขับนักการทูตรัสเซีย 60 คน และกำลังจะสั่งปิดสถานกงสุลรัสเซียในนครซีแอตเทิลแล้ว ชาติสมาชิกอียูซึ่งได้แก่ฝรั่งเศส, เยอรมนี, โปแลนด์, ลิทัวเนีย, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, อิตาลี, สเปน, เอสโทเนีย, โครเอเชีย, ฟินแลนด์, สวีเดน, ฮังการี, ลัตเวีย และโรมาเนีย ต่างก็สั่งขับนักการทูตรัสเซียในประเทศของตนด้วย     ประเทศอื่น ๆ อย่างแคนาดา, ยูเครน, แอลเบเนีย, ออสเตรเลีย, นอร์เวย์ และมาซีโดเนีย ต่างก็ร่วมออกคำสั่งขับนักการทูตรัสเซียเช่นกัน ส่วนไอซ์แลนด์แถลงว่าจะระงับการเจรจาระดับสูงกับรัสเซียลงทั้งหมด และผู้นำประเทศจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกที่จะจัดขึ้นที่รัสเซียในเดือนมิ.ย.นี้…