ตุรกีเจอคาร์บอมรอบ 2 ในหนึ่งเดือน ตาย 34 เจ็บกว่าร้อย

Loading

     เกิดเหตุระเบิดรถยนต์ในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกีอีกครั้ง เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นของตุรกีที่บริเวณสวนสาธารณะกูเวน ในเขตคิซิเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเดินทางและเป็นพื้นที่เขตธุรกิจของกรุงอังการา แรงระเบิดทำให้รถหลายคันในที่เกิดเหตุเหลือแต่ซาก ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการอพยพผู้คนออกจากบริเวณใกล้เคียงเพื่อป้องกันกรณีเกิดเหตุโจมตีซ้ำ โดยรถพยาบาลหลายคันเร่งรุดไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ มีรายงานผู้เสียชีวิต 34 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 125 คน ในจำนวนนี้ 19 รายอาการสาหัส โดยคาดว่าผู้เสียชีวิต 2 รายน่าจะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ เบื้องต้นยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีดังกล่าว แต่ทางการตุรกีระบุว่าผลการตรวจสอบบ่งชี้ว่าเหตุระเบิดครั้งนี้น่าจะเป็นฝีมือของพรรคแรงงานเคอร์ดิสถานหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ด้านประธานาธิบดีตุรกีระบุว่ากลุ่มก่อการร้ายมุ่งเป้าที่จะโจมตีพลเรือน เพราะกำลังเพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้กับกองกำลังตุรกี พร้อมกับย้ำว่าเหตุโจมตีดังกล่าวยิ่งทำให้ทางการตุรกีมุ่งมั่นที่จะจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายต่อไป ขณะที่นายกรัฐมนตรีตุรกีเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการฉุกเฉินหลังเกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งล่าสุดโดยรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของตุรกียืนยันว่าจะสามารถสรุปผลการสอบสวนได้ภายในเช้าวันที่ 14 มีนาคมนี้ และจะมีการระบุชื่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เหตุระเบิดครั้งล่าสุดถือเป็นครั้งที่ 2 ในเวลาเพียง 1 เดือน หลังจากที่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เพิ่งเกิดเหตุระเบิดขึ้นในกรุงอังการาเช่นกัน ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงอังการา แจ้งว่า ไม่มีคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้แต่อย่างใด   ————————————— ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 14 มี.ค. 2559 Link : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1457925035

กลุ่มอัลกออิดะห์ อ้างอยู่เบื้องหลังเหตุกราดยิงรีสอร์ทไอวอรี่โคสต์

Loading

     กลุ่มข่าวกรองที่เฝ้าติดตามเว็บไซด์ ของกลุ่มมุสลิมที่ยึดแนวทางการใช้ความรุนแรง หรือ “ญิฮาด” เปิดเผยว่า กลุ่มอัลกออิดะห์ได้ออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังของกลุ่มมือปืนชายฉกรรจ์ 6 คน ที่ก่อเหตุกราดยิงผู้คนและนักท่องเที่ยวบริเวณชายหาดของรีสอร์ทแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากย่านเศรษฐกิจในเมืองหลวงเก่า คือ กรุงอาบิดจัน ราว 40 กิโลเมตร ซึ่งนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 16 คน เป็นชาวต่างชาติ 4 คน สัญชาติฝรั่งเศส และเยอรมนี      ขณะที่  ประธานาธิบดี “อะลัสซาน วาตารา” ของไอวอรี่ โคสต์ เปิดเผยว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือน 14 คน และเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจอีก 2 นาย พร้อมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความมั่นคง ที่เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ และจัดการกับเหตุก่อการร้ายครั้งนี้ ให้สงบลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ไอวอรี่โคสต์ ถือเป็นประเทศ ที่สงบที่สุดประเทศหนึ่งในแอฟริกาตะวันตก โดยเมื่อปี 2545 เคยเกิดสงครามกลางเมือง ระหว่างชาวมุสลิมที่อยู่ทางตอนเหนือกับชาวคริสต์ส่วนใหญ่ที่อยู่ทางตอนใต้ และได้มีการทำข้อตกลงสันติภาพต่อกัน ——————————————- ที่มา : Ch7 News /…

ตร.จับสื่อออสซี่บุกถึงตัว”นาจิบ”

Loading

     เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 มี.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียแจ้งเหตุผลการกักตัวนาย ลินตัน เบสเซอร์ และนายหลุยส์ อีโรกลู ผู้สื่อข่าวชาวออสเตรเลียจากสำนักข่าวเอบีซี ถูกจับกุมและถูกห้ามเดินทางออกจากประเทศมาเลเซีย ว่าเป็นเพราะทั้งสองข้ามเส้นการรักษาความปลอดภัยและพยายามเข้าถึงตัวนายกฯ นาจิบอย่างก้าวร้าว ระหว่างที่ผู้นำมาเลเซียเดินทางไปมัสยิดที่เมืองกูชิง บนเกาะบอร์เนียว      “ทั้งสองถูกจับกุมเพราะไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของตำรวจที่ไม่อนุญาตให้ข้ามเส้นรักษาความปลอดภัย” แถลงการณ์ของตำรวจมาเลเซียระบุ ทั้งนี้มีรายงานว่า นักข่าวทั้งสองพยายามบุกเข้าไปประชิดตัวนายกรัฐมนตรี เพื่อยิงคำถามเกี่ยวกับข้อกล่าวหาทุจริต      สำหรับนักข่าวทั้งสองทำรายการข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน “สี่มุม” หรือ โฟร์ คอร์เนอร์ ให้สถานีเอบีซี ออสเตรเลีย หลังถูกควบคุมตัวแล้ว ทางตำรวจก็ปล่อยตัวออกมาโดยไม่ได้ตั้งข้อหาใดๆ และคืนพาสปอร์ตให้แต่ย้ำว่ายังไม่ให้ออกจากมาเลเซีย เพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการหารืออัยการว่าจะสั่งฟ้องนักข่าวทั้งสองหรือไม่      ก่อนหน้านี้ นายเบสเซอร์เคยตั้งคำถามนายนาจิบ ถึงกรณีที่ถูกเชื่อมโยงในคดีฆาตกรรม น.ส.อัลตันตูยา ชาอาริบู หญิงสาวชาวมองโกเลียในปี 2549 ซึ่งยังคงมีข้อสงสัยมาจนถึงปัจจุบัน ในคดีดังกล่าว มีผลการสอบสวนว่าน.ส.ชาอาริบูเกี่ยวข้องกับการต่อรองซื้อขายเรือดำน้ำฝรั่งเศสในปี 2545 มูลค่า 1,100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 38,500…

ตำรวจเยอรมนีสอบเหตุขู่ระเบิดที่สถานทูตสหรัฐ

Loading

เบอร์ลิน 11 มี.ค. – ตำรวจกรุงเบอร์ลินรายงานว่า ชายคนหนึ่งถูกควบคุมตัวภายหลังอ้างว่า มีระเบิดภายในกระเป๋าสัมภาระที่เขาพยายามนำเข้าไปในสถานทูตสหรัฐ โฆษกตำรวจกรุงเบอร์ลินของเยอรมนีกล่าววันนี้ว่า พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่อนุญาตให้ชายคนดังกล่าวเข้าสถานทูตเมื่อเวลาประมาณ 07.30 น. อย่างไรก็ตามตำรวจกำลังสอบสวนตามที่มีรายงานว่าชายคนนี้มีพฤติกรรมรุนแรงและพยายามชกต่อยพนักงานรักษาความปลอดภัย จนกระทั่งถูกตำรวจรวบตัวได้ในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้เขายังอ้างว่ามีระเบิดภายในกระเป๋าสัมภาระอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้าสถานทูต ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่และกระเป๋าดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่กล่าวว่า มีแนวโน้มว่าชายคนนี้มีปัญหาสภาพจิตผิดปกติ . ————————————– ที่มา : สำนักข่าวไทย วันที่ 11 มี.ค. 2559 Link : http://www.tnamcot.com/content/422359

ระทึก! หนุ่มโปรตุเกสบุกฮีทโธรว์ ขังตัวเองในห้องนักบินโบอิ้ง 747

Loading

     ตำรวจอังกฤษจับชายชาวโปรตุเกสคนหนึ่งฐานลักลอบเข้าไปในสนามบินฮีทโธรว์ ก่อนปีนเครื่องบินโบอิ้ง 747 และขังตัวเองอยู่ภายในห้องนักบินเป็นเวลานาน โดยตอนนี้ยังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ      สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลุยส์ เปโดร เบร์ดาสกา ดอส ซานโตส คอสตา ชายชาวโปรตุเกส ถูกจับกุมตัวพร้อมตั้ง 3 ข้อหาซึ่งรวมถึงข้อหาเข้าไปในเครื่องบินโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังจากเขาก่อเหตุบุกฝ่ารั้วรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานลอนดอน ฮีทโธรว์ ในกรุงลอนดอน ก่อนปีนขึ้นไปบนเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของสายการบิน บริติช แอร์เวย์ส ที่ไม่มีคน และขังตัวเองหลังประตูรักษาความปลอดภัยของห้องนักบินเป็นเวลานาน      เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มี.ค. ชายวัย 38 ปีรายนี้ก่อเหตุปีนข้ามรั้วรักษาความปลอดภัยรอบนอกของท่าอากาศยานลอนดอน ฮีทโธรว์ ก่อนจะลอบเข้าไปในพื้นที่วิศวกรรมของบริติช แอร์เวย์ส ก่อนถูกพบเห็นขณะกำลังปีนขึ้นไปบนห้องโดยสารของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ที่จอดอยู่ เขาจึงหนีเข้าไปในห้องนักบินและขังตัวเองอยู่ในนั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถเปิดประตูซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับป้องกันเหตุร้ายบนเครื่อง และจับกุมชายคนนี้ได้สำเร็จ      แหล่งข่าวซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อรายหนึ่งระบุว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนและยากลำบากมาก และในท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องถูกเรียกมาที่เครื่องบินและปฏิบัติหน้าที่อย่างยาวนานเพื่อเข้าไปในห้องนักบินจากภายนอก “เมื่อลองคิดดู มันเป็นสถานการณ์น่ากลัว…

ตำรวจตุรกีจู่โจม! ยึดสำนักพิมพ์เสนอข่าวโจมตีรัฐบาล

Loading

ตำรวจปราบจลาจลตุรกียิงแก๊สน้ำตาและกระสุนน้ำเข้าใส่ผู้ประท้วงนับร้อย หลังบุกยึดสำนักงานหนังสือพิมพ์ซามาน ( Zaman) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกลางเมืองหลวงในเช้านี้ (5 มี.ค. 59) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มี.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลของประเทศตุรกีใช้แก๊ซน้ำตาจำนวนมาก รวมทั้งปืนฉีดน้ำและกระสุนพลาสติก เข้าสลายการชุนมุมของกลุ่มผู้ประท้วงราว 500 คนที่มารวมตัวกันอยู่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ ‘ซามาน’ หนังสือพิมพ์ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป เอร์โดอัน ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ในนครอิสตันบูล เหตุความรุนแรงล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเที่ยงคืนวันศุกร์ (4 มี.ค.) ตำรวจของตุรกีใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงสลายการชุมนุมของฝูงชนจำนวนหลายร้อยคน ที่มารวมตัวที่สำนักงานใหญ่ของหนังสือพิมพ์ซามาน เพื่อบุกเข้าไปภายในสำนักงานและบังคับใช้คำสั่งศาล ภายหลังศาลตุรกีมีคำสั่งให้รัฐบาลยึดกิจการหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ จากข้อหาช่วยเหลือและสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกเล่นงานด้วยกฎหมาย แต่หนังสือพิมพ์ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ ศ.เฟตุลเลาะห์ กูเลน ศัตรูทางการเมืองของประธานาธิบดีเอร์โดอันผู้ลี้ภัยไปอยู่สหรัฐฯ ที่ยังคงตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ออกมาได้ทันก่อนถูกบุกยึดในช่วงเที่ยงคืนวันศุกร์ โดยระบุข้อความว่า “รัฐธรรมนูญถูกระงับ” เป็นตัวหนังสือตัวใหญ่ไว้บนพื้นหลังสีดำของหน้าแรก พร้อมทั้งระบุด้วยว่า “เมื่อวานนี้ (วันศุกร์) เป็นหนึ่งในวันที่มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์สื่อ” ด้านสหภาพยุโรปออกมาแสดงความกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตุรกีเป็นอย่างมาก โดยนาย โยฮันเนส ฮาห์น ข้าหลวงใหญ่ด้านนโยบายเพื่อนบ้านและการขยายสหภาพยุโรป กล่าวว่า เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งจากความเคลื่อนไหวซึ่งมีท่าทีคุกคามโดยตุรกี (รัฐบาล) เขายังเตือนผ่านเว็บไซต์ ทวิตเตอร์…