ออสเตรเลียผ่านกฎหมายลงโทษคนทำข้อมูลส่วนบุคคลหลุดสุดโหด ค่าปรับคิดตามความเสียหาย

Loading

  ออสเตรเลียผ่านกฎหมายขึ้นค่าปรับการทำข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล จากเดิมที่ค่าปรับสูงสุดอยู่ที่ 2.2 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย กลายเป็นค่าปรับไม่มีเพดานแต่จะคิดจากความเสียหายหรือขนาดองค์กรที่ทำข้อมูลหลุดแทน โดยค่าปรับในกรณีที่เกิดความเสียร้ายแรงหรือทำผิดซ้ำ   โดยเพดานค่าปรับจะดูจากสามเงื่อนไขและคิดเงื่อนไขที่เพดานค่าปรับสูงสุด เงื่อนไขได้แก่ – 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย – สามเท่ามูลค่าผลประโยชน์ที่คนร้ายได้ไปจากการใช้ข้อมูล – 30% ของเงินหมุนเวียนของบริษัท (adjusted turnover)   ออสเตรเลียพบปัญหาข้อมูลหลุดครั้งใหญ่ ๆ หลายครั้งในปีนี้ เช่น เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ Optus ทำข้อมูลลูกค้าหลุด 9.8 ล้านคน หรือบริการประกันสุขภาพ Medibank ที่ทำข้อมูลหลุดถึง 9.7 ล้านคน   นอกจากการเพิ่มบทลงโทษแล้ว กฎหมายนี้ยังให้อำนาจกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการช่วยสอบสวนเหตุการณ์ข้อมูลหลุดและการเปิดเผยข้อมูลเพื่อปกป้องลูกค้าขององค์กรที่ข้อมูลหลุด   กฎหมายนี้นับเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล Albanese ที่เพิ่งรับตำแหน่งในปีนี้ ทางรัฐบาลประกาศว่าจะแก้ไขกฎหมายข้อมูลส่วนตัวเพิ่มเติมต่อไป     ที่มา – Australia Attorney General ภาพ – vjohns1580    …

Meta โดนปรับอีก ฐานละเมิดข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ จ่าย 265 ล้านยูโร

Loading

  [วันนี้ที่ (ไม่) รอคอย] ย้อนกลับไปในเดือนเมษายนปีก่อน พบข้อมูลผู้ใช้ Faecbook หลุดในเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นจำนวนนับร้อยล้าน และพบด้วยว่าเหตุเกิดตั้งแต่ปี 2019 เป็นเหตุให้ Facebook อาจต้องชดใช้เป็นการใหญ่ จนล่าสุดมีการตัดสินแล้วว่า Meta หรือเจ้าของ Faecbook ในปัจจุบัน ต้องจ่ายเงินชดเชยถึง 265 ล้านยูโร คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของไอร์แลนด์ (DPC) สั่งปรับ Meta เป็นจำนวนเงินถึง 265 ล้านยูโร หรือประมาณ 9,800 ล้านบาท ฐานละเมิดข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยปล่อยให้ข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ Facebook ไม่ว่าจะเป็น เบอร์โทร วันเกิด อีเมล และตำแหน่งที่อยู่ (อาจรวมถึงชื่อผู้ใช้ด้วย) หลุดในเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นจำนวนถึง 533 ล้านคน เปิดทางผู้ไม่หวังดี นำไปยิง [ฟิชชิงเมล] และการโจมตีอื่น ๆ ได้ ทั้งนี้ทาง DPC ระบุอีกว่า ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook ที่หลุดออกไปนั้น…

ญี่ปุ่นเพิ่มงบฯกลาโหมเป็น 2% ของจีดีพี หวังป้องกันภัยคุกคามประเทศ

Loading

  นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้สั่งการให้รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการคลัง เพิ่มการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติขึ้นเป็น 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภายในปีงบประมาณ 2570 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลญี่ปุ่นปรับเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายคิชิดะได้เรียกตัวรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีคลังเข้าพบเมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ (28 พ.ย.) ในขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งประสบปัญหาด้านสังคมผู้สูงอายุและหนี้สินที่เพิ่มขึ้นนั้น กำลังเผชิญกับการถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการระดมเงินทุนเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มสต็อกขีปนาวุธร่อน (Cruise Missile) ไว้ในคลังแสงเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในภูมิภาค “เรากำลังรวบรวมงบประมาณด้านกลาโหมและงบประมาณสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเข้าไว้ด้วยกัน โดยงบประมาณเหล่านี้จะมีสัดส่วนสูงถึง 2% ของตัวเลข GDP ในปีงบประมาณ 2570” นายยาซูคาสึ ฮามาดะ รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีคิชิดะ ณะที่นายชูนิชิ ซูซูกิ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นกล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ว่า รัฐบาลกำลังเตรียมงบประมาณให้สอดคล้องกับคำสั่งของนายกรัฐมนตรีคิชิดะ และขณะนี้ทางกระทรวงกำลังหารือกันเกี่ยวกับรายละเอียดของงบประมาณส่วนนี้ ท่ามกลางความวิตกของสาธารณชนหลังจากที่รัสเซียส่งกำลังทหารรุกรานยูเครนและสถานการณ์ตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในไต้หวันนั้น นายกรัฐมนตรีคิชิดะได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนด้านกลาโหมเพื่อปกป้องญี่ปุ่น และจะเพิ่มการใช้จ่ายที่จำเป็น ทั้งนี้ แม้ว่าญี่ปุ่นจะไม่ใช่สมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แต่งบประมาณด้านกลาโหมของญี่ปุ่นในขณะนี้ มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับบรรดาชาติสมาชิกนาโต     ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์   /   วันที่เผยแพร่ 29 พ.ย.65…

ตำรวจจีนปูพรมตรวจหาการใช้ Twitter , Instagram และ Telegram สกัดกั้นการประท้วงต้านนโยบายโควิด

Loading

  ตำรวจในประเทศจีนวางกำลังหลายแห่ง เพื่อตรวจสอบสมาร์ทโฟนของประชาชนว่ามีการใช้งานแอปพลิเคชันต้องห้ามอย่างทวิตเตอร์ , อินสตาแกรม และเทเลแกรม หรือไม่ ภายหลังเกิดการประท้วงต้านนโยบายโควิดต้องเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีนอย่างหนัก รายงานของสื่อต่างประเทศหลายสำนัก เปิดเผยว่า ตำรวจในประเทศจีนได้วางกำลังตรวจสอบสมาร์ทโฟนของผู้ที่สัญจรไปมา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณที่เคยเป็นจุดประท้วงต่อต้านนโยบายโควิด-19 ของรัฐบาลจีน รวมไปถึงพื้นที่ทางเข้าศูนย์การค้า โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อค้นหาว่ามีการใช้งานแอปพลิเคชันต้องห้ามหรือไม่ ในเวลานี้ประชาชนจำนวนมากในประเทศจีนกำลังเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ถูกแบนโดยรัฐบาลจีน โดยแอปพลิเคชันที่ถูกแบนนี้ประกอบไปด้วย ทวิตเตอร์ , อินสตาแกรม และเทเลแกรม ซึ่งแม้ว่าแอปเหล่านี้จะถูกแบนจากรัฐบาลจีนก็จริง แต่ชาวจีนสามารถเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันที่ถูกแบนเหล่านี้ภายใต้การใช้งานเครือข่ายเสมือน หรือ VPN (Virtual Private Networks) จนถึงเวลานี้ผู้คนในประเทศจีนจำนวนไม่น้อยอึดอัดกับสถานการณ์การใช้นโยบายสกัดกั้นโควิด-19 อันเข้มงวดของรัฐบาลจีน จึงได้มีการจัดการประท้วง และได้มีการใช้แอปพลิเคชันอย่างเทเลแกรม , ทวิตเตอร์ ไปจนถึงอินสตาแกรม เพื่อสื่อสาร พูดคุย และวางแผนประท้วง รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการประท้วงออกสู่โลกภายนอก ทางด้าน วิลเลียม หยาง ผู้สื่อข่าวจากด็อยท์เชอเว็ลเลอ (Deutsche Welle) รายงานว่า ตอนนี้รัฐบาลจีนได้บันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของใครก็ตามที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันจากต่างประเทศ รวมถึงการใช้ VPN โดยมีการตั้งจุดตรวจในหลายพื้นที่ เช่น บริเวณถนนสายหลัก และทางเข้าห้างสรรพสินค้า   Sources…

จีนใช้ “เทเลแกรม” อาวุธสามัญประจำม็อบ ต้านล็อกดาวน์โควิด

Loading

  ชาวจีนที่เห็นต่างมาตรการควบคุมโควิด-19 หันไปใช้แอปพลิเคชัน “เทเลแกรม” และแอปพลิเคชันหาคู่ เพื่อเลี่ยงใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักในจีน เพื่อหลบหลีกการถูกเซ็นเซอร์ และกระจายยุทธศาสตร์ความเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจรัฐเหมือนเกมแมวไล่จับหนูในคอมพิวเตอร์ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วิดีโอ และภาพของกลุ่มต่อต้านมาตรการโควิด-19 ได้แพร่สะพัดในโซเชียลมีเดีย กำลัถูกเซ็นเซอร์อย่างเข้มงวด นับตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา งานนี้ไม่อาจหลุดรอดต่างชาตินักท่องอินเทอร์เน็ตที่เซฟภาพไว้ได้ทัน ก่อนภาพนั้นจะถูกลบทิ้งไป ปฏิบัติการกวาดล้างโพสต์มีขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้มันจะถูกลบหลังชาวเน็ตดาวน์โหลดไว้ได้ทัน และโพสต์ซ้ำ ไม่เพียงแต่ในโซเชียลมีเดียหลักๆ ของจีน แต่ยังรวมถึงทวิตเตอร์และอินสตาแกรมที่ถูกบล็อกในจีนด้วย Telegram แอปแชทสัญชาติรัสเซีย ถูกนำมาใช้ในการประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ในจีน ซึ่งแอปนี้พัฒนาขึ้นโดยนาย Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง VKontakte โซเชียลเน็ตเวิร์ครายใหญ่ในยุโรป โดยผู้ใช้งาน Telegram นั้นจะคล้ายกับการเริ่มต้นใช้งานแอปพลิเคชันแชทโดยทั่วไปคือ จะต้องการใส่หมายเลขโทรศัพท์ เพื่อรอโค้ดยืนยันตัวตนก่อนเปิดใช้บริการของ Telegram จุดเด่นของ Telegram อยู่ที่มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดซึ่งไม่เคยอนุญาตให้บุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ โดยฟีเจอร์เด่นของแอปนี้คือ ผู้ใช้งานสามารถเลือกวิธีการแชทได้สองวิธีคือ การคุยทั่วไป กับ “การคุยแบบลับสุดยอด” หรือที่เรียกว่า Secret Chat โดยใช้งานต่างกันตรงที่แบบทั่วไปสามารถเริ่มต้นแชทได้ทันทีที่เราต้องการ แต่หากจะแชทแบบลับสุดยอดนั้นผู้ใช้งานต้องรอให้อีกฝ่ายออนไลน์ก่อนจึงจะเริ่มต้นแชทได้ อย่างไรก็ตาม Telegram มีจุดเด่นหลายอย่างซึ่งไม่มีในแอปอื่นๆ คือ สามารถสร้างกลุ่มแชทขนาดใหญ่ที่รองรับคนจำนวนมหาศาลได้สูงสุดถึง…