กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ชี้ปืนล้นประเทศ

Loading

  วอชิงตัน/ลากูนา วูดส์ (เอพี/รอยเตอร์ส)-กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เผยว่า ช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ผลิตปืนเพื่อจำหน่ายมากกว่า 139 ล้านกระบอก และยังนำเข้ามาอีก 71 ล้านกระบอก บ่งชี้ว่าประเทศกำลังเต็มไปด้วยอาวุธปืนส่วนบุคคลที่ส่งผลให้เกิดเหตุรุนแรงจากปืนเพิ่มมากขึ้น รายงานฉบับใหม่ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ รวบรวมข้อมูลระหว่างปี 2543-2563 เฉพาะปี 2563 สหรัฐฯ ผลิตปืนเพื่อจำหน่าย 11.3 ล้านกระบอก มีผู้ผลิตที่จดทะเบียนและยังดำเนินงานอยู่ 16,963 ราย เพิ่มขึ้นจาก 2,222 ราย ในปี 2543 รายงานพบว่า ชาวอเมริกันนิยมสะสมปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุสังหารหมู่หลายครั้ง และยังซื้อปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติขนาด 9 มิลลิเมตร ที่มีราคาถูกลง ใช้งานง่าย มีความแม่นยำคล้ายอาวุธคู่กายตำรวจในปัจจุบัน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังประสบปัญหาปืนเถื่อนที่มีจำนวนมากขึ้น มีทั้งปืนประกอบขึ้นเองจากชิ้นส่วนที่หาซื้อทางออนไลน์ และปืนพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ลิซา โมนาโก รองอัยการสูงสุดสหรัฐฯ ระบุว่า ทางการจะแก้ปัญหาความรุนแรงจากปืนซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นในขณะนี้ได้ต่อเมื่อมีข้อมูลอย่างละเอียด แล้วนำเครื่องมือและงานวิจัยที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ รายงานฉบับนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญ…

‘ออสเตรเลีย – ไทย’ หารือความเสี่ยงโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

Loading

  ออสเตรเลียร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย (สมช.) จัดการหารือว่าด้วยเรื่องความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ระหว่างออสเตรเลีย และไทย ระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤษภาคม 2565 ผู้เชี่ยวชาญ และผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 100 คน ได้ร่วมหารือถึงการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญระหว่างออสเตรเลีย และไทยอย่างยั่งยืน รวมถึงการแจกแจงและจัดการความเสี่ยงทั้งของภาครัฐและเอกชน การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างมีประสิทธิภาพมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรวมถึงการจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และระบบดิจิทัลที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งหลายประเทศต้องพึ่งระบบเหล่านี้ในการบริหารจัดการ นายอัลลัน แมคคินนอน เอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ได้กล่าวว่า บทเรียนสำคัญจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นถึงว่าโครงสร้างพื้นฐานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัย และความมั่นคงของประเทศ ” เราถือเป็นโอกาสที่สำคัญที่จะได้ร่วมงานกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย ในการแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญรวมถึงการแจกแจง และจัดการความเสี่ยงเหล่านั้น” เอกอัครราชทูตออสเตรเลียยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียบพร้อมในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าบีทีเอส เขื่อนภูมิพล ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แต่กระนั้นก็ยังต้องจัดการความเสี่ยงหลายอย่างต่อโครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นการเอ่อล้นของแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงการขโมยข้อมูลการเงินทางไซเบอร์ นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศเนื่องจากจะเกิดผลกระทบต่อความปลอดภัย และการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนในวงกว้าง หากเกิดการหยุดชะงักของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยตั้งแต่ในอดีตจนถึงจนปัจจุบัน สมช. ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และหน่วยงานต่างประเทศมาโดยตลอด…

กรมโรงงานฯ ขีดเส้น 23 ต.ค.โรงงานใช้สารเคมีตั้งแต่ 1 ตัน/ปีต้องรายงานข้อมูล

Loading

กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ออกคำสั่งให้โรงงานที่ใช้จัดเก็บสารเคมีอันตรายตั้งแต่ 1 ตัน/ปี ต้องรายงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีผลบังคับใช้ 23 ตุลาคม 2565 พร้อมจัดการฝึกอบรม “ระบบข้อมูลเพื่อการจัดการความปลอดภัยด้านสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรม” ผ่านช่องทางออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานในเดือนมิถุนายน และกันยายน 2565 นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 มีสารเคมีกว่า 20 ตันระเบิดรั่วไหลออกมา ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบโรงงาน ทั้งความเสียหายทางทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้จัดทำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง มาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับการจัดการสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรม กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานตามบัญชีแนบท้ายประกาศฯ และผู้ประกอบกิจการโรงงาน นอกเหนือจากบัญชีแนบท้ายประกาศฯ ต้องรายงานข้อมูลสารเคมีอันตรายที่มีการเก็บ หรือการใช้ในการประกอบกิจการโรงงาน ในปริมาณตั้งแต่ 1 ตัน/ปี ต่อสารเคมีอันตรายหนึ่งชนิด ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ กรอ. โดยประกาศดังกล่าวได้ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23…

สหรัฐฯ เตือนคนไอทีเกาหลีเหนือปลอมเป็นคนชาติอื่น รับงานไอที เขียนแอปมือถือ , แพลตฟอร์มคริปโต , ซัพพอร์ต

Loading

  กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (Department of Treasury) ออกประกาศแจ้งเตือนว่า เกาหลีเหนือกำลังส่งออกแรงงานไอทีนับพันคน รับงานบริษัทต่างชาติโดยปิดบังสัญชาติที่แท้จริงของคนทำงานเพื่อหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรสหรัฐฯ แรงงานไอทีเหล่านี้มักมีฐานรับงานอยู่นอกเกาหลีเหนือ เช่น จีน , รัสเซีย , บางส่วนอยู่ในแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาศัยการปลอมแปลงเอกสารประจำตัวว่าเป็นคนจีน , เกาหลีใต้ , ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังตั้งบริษัทนอกเกาหลีเหนือเพื่อบังหน้า งานที่แรงงานไอทีจากเกาหลีเหนือรับงานมีหลากหลาย เช่น การพัฒนาแอปและเว็บ , สร้างแพลตฟอร์มเงินดิจิทัล , ให้บริการไอทีซัพพอร์ต , ทำกราฟิก/อนิเมชั่น , พัฒนาเกม , สร้างแพลตฟอร์มพนันออนไลน์, ระบบปัญญาประดิษฐ์ , งานพัฒนาฮาร์ดแวร์และเฟิร์มแวร์ โดยเกาหลีเหนือลงทุนกับการพัฒนาบุคลากรไอทีอย่างหนัก คาดว่าในช่วงรัฐบาลคิมจองอึนมีนักเรียนด้านไอทีจบจากมหาวิทยาลัยในเกาหลีเหนือมาแล้วประมาณ 30,000 คน แรงงานเหล่านี้รับงานที่ในลักษณะฟรีแลนซ์ที่ได้รายได้สูง บางคนอาจจะมีรายได้ถึงปีละ 300,000 ดอลลาร์หรือกว่าสิบล้านบาท บางทีมรับงานได้ปีละ 3 ล้านดอลลาร์หรือร้อยล้านบาทเลยทีเดียว แม้ว่าแรงงานเหล่านี้จะทำงานจริง และดูไม่ได้มุ่งร้ายกับองค์กรที่ไปรับงานนัก แต่ประกาศก็เตือนว่าแรงงานเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้ให้รัฐบาลเกาหลีเหนือไปพัฒนาอาวุธ และการจ้างแรงานเหล่านี้เป็นการละเมิดการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มา – Department…

อังกฤษเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่เพื่อสู้กับสายลับที่หลอกเอาข้อมูลลับจากผู้ใช้งานบนโซเชียลมีเดีย

Loading

  “รัฐบาลสหราชอาณาจักรเปิดตัว Think Before You Link แอปพลิเคชันช่วยตรวจสอบตัวตนบัญชีผู้ใช้บนโซเชียลมีเดียอย่าง LinkedIn และ Facebook” เคน แม็คคอลลัม (Ken McCallum) ผู้อำนวยการทั่วไปของแผนกต่อต้านการจารกรรมแห่งสหราชอาณาจักร หรือ เอ็มไอไฟว์ (MI5) ได้เปิดเผยในช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้วว่ามีผู้ใช้งานบนโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะบนลิงก์อิน (LinkedIn) และเฟซบุ๊ก (Facebook) กว่า 10,000 คน ตกเป็นเป้าหมายการจารกรรมข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติผ่านบัญชีที่สร้างตัวตนปลอมขึ้นมา และในปีนี้ ทางการได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ที่มีชื่อว่า Think Before You Link เพื่อยกระดับการจัดการกับปัญหานี้ คิดก่อนลิงก์ (Think Before You Link) เป็นโครงการรณรงค์การตระหนักรู้ทางไซเบอร์ (Cyber Awareness) ที่เริ่มรณรงค์ตั้งแต่ปีก่อนเพื่อป้องกันการถูกล่อลวงจากบัญชีแปลกหน้าที่มีประวัติดีเกินไปบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยเฉพาะ ลิงก์อิน (LinkedIn) ที่เป็นแพลตฟอร์ม (Platform) ยอดนิยมสำหรับคนทำงาน เป้าหมายของสายลับที่แฝงตัวบนลิงก์อิน (LinkedIn) ส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลที่มีสิทธิ์เข้าถึงระดับชั้นความลับขั้นสูง ปลอมตัวเป็นตัวแทนจากบริษัทที่อ้างว่าเป็นเครือข่ายคนทำงานหรือเครือข่ายอาชีพเฉพาะทางระดับโลก หลังจากทำความคุ้นเคยกับเป้าหมายแล้ว สายลับจะพาไปงานเสวนาปลอมที่จัดขึ้นในต่างประเทศเพื่อหลอกถามข้อมูลลับต่อไป แอปพลิเคชันในชื่อเดียวกับโครงการถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยต่อกรกับบัญชีที่มีตัวตนปลอมเหล่านี้…

ช่องโหว่ใหม่ iPhone โหลดมัลแวร์เอง แม้ไม่ได้เปิดเครื่อง

Loading

ใครใช้ iPhone อยู่ อ่านหัวข้อแล้วอย่าพึ่งตกใจไปครับ อ่านข้อมูลกันสักนิดก่อน . ด้วยฟีเจอร์ของ iOS รุ่นล่าสุด ทำให้ผู้ใช้ระบุตำแหน่งของ iPhone ได้ แม้ว่าเครื่องจะถูกปิดอยู่ นั่นเป็นเพราะชิปไร้สายบางตัวยังคงเปิดทำงาน เพื่อทำให้เจ้าของสามารถค้นหา iPhone ได้จากการถูกขโมย หรือสูญหายขณะเครื่องถูกปิด . แต่ตอนนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวอาจกลายเป็นช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมโทรศัพท์ได้ โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งดาร์มสตัดท์ในเยอรมนีพบว่า ด้วยฟีเจอร์ค้นหาในขณะที่ปิดเครื่อง iPhone จำเป็นต้องเปิดใช้งานชิป Bluetooth ภายในอยู่ ซึ่งชิปตัวนี้จะเปิดใช้งานตลอด แม้เครื่องจะถูกปิด และนั่นอาจทำให้แฮกเกอร์มุดเข้ามาเพื่อติดตั้งมัลแวร์บนโทรศัพท์ได้ . นักวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าสามารถติดตั้งมัลแวร์บนชิป Bluetooth ได้ แต่ว่าข้อมูลงานวิจัยส่วนใหญ่ยังอยู่ในเชิงทฤษฏี และขั้นตอนการแฮกนั้นไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้น เพราะแฮกเกอร์จะต้องทำการเจลเบรก iPhone ก่อนถึงจะสามารถเข้าถึงชิป Bluetooth และใช้ประโยชน์จากมันได้ . นั่นแปลว่า เรามีโอกาสจะถูกแฮกเกอร์ก็ต่อเมื่อนำเครื่องไปฝาก หรือไปซ่อมที่ร้านที่ไม่น่าไว้ใจ รวมถึงช่วงที่โทรศัพท์สูญหายและไม่รู้ว่าก่อนเราจะตามเครื่องเจอ เครื่องถูกทำอะไรมาบ้างครับ แต่หากเครื่องอยู่กับตัวเราตลอด เป็นไปไม่ได้เลยที่แฮกเกอร์จะอาศัยช่องโหว่นี้เพื่อโจมตี . แต่ถึงกระนั้น นักวิจัยก็แค่ออกมาบอกว่า มันมีช่องโหว่นี้อยู่นะ และคงคาดหวังว่า Apple จะแก้ไขช่องโหว่ดังกล่าว…