อิสราเอลพัฒนา ‘AI จับเท็จ’ จากกล้ามเนื้อใบหน้า ความแม่นยำสูง

Loading

  ทีมวิจัยจากอิสราเอลพัฒนา AI จับโกหกจากกล้ามเนื้อบนใบหน้า แม่นยำสูง 73% สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ (TAU) ของอิสราเอลระบุว่าคณะนักวิจัยชาวอิสราเอลได้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รูปแบบใหม่ ที่สามารถตรวจจับการโกหกจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนากล้องและซอฟต์แวร์ที่จะช่วยตรวจจับการโกหกในหลายๆ สถานการณ์จริง ทางมหาวิทยาลัยฯ ระบุว่าคณะนักวิจัยใช้เทคโนโลยีตัวใหม่นี้ตรวจจับการโกหกของผู้เข้าร่วมการทดลอง ได้แม่นยำสูงถึงร้อยละ 73 ผลการศึกษาซึ่งได้รับการเผยแพร่ลงบนวารสาร เบรน แอนด์ บีเฮฟวีเออร์ (Brain and Behavior) ระบุว่าคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฯ แบ่งคนโกหกออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะขยับกล้ามเนื้อแก้มเมื่อโกหก ส่วนกลุ่มที่สองจะขยับคิ้ว การศึกษานี้ใช้นวัตกรรมการพิมพ์สติกเกอร์บนพื้นผิวอ่อนนุ่มซึ่งมีขั้วไฟฟ้า ซึ่งเป็นนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยฯ ในการตรวจสอบและวัดความเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท คณะนักวิจัยระบุว่าระบุว่าในอนาคตอาจไม่จำเป็นต้องใช้ตัวนำไฟฟ้าต่อไป หากมีการใช้ซอฟต์แวร์วิดีโอที่สามารถตรวจจับการโกหกจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ พร้อมให้ข้อสรุปว่าหากนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้กับกล้องคุณภาพสูง ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อการตรวจจับการโกหกในธนาคาร สนามบิน การสืบสวนของตำรวจ และการสัมภาษณ์งานทางออนไลน์ได้ ภาพ: กล้องจดจำใบหน้าที่สนามบินนานาชาติออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา (AP Photo/John Raoux)   ที่มา : โพสต์ทูเดย์     …

ผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันอาจต้องกลับประเทศ หากไม่ผ่านคัดกรองจากสหรัฐฯ

Loading

  สหรัฐฯ พิจารณาส่งผู้ลี้ภัยบางส่วนกลับอัฟกานิสถานหากไม่ผ่านการตรวจสอบคัดกรองที่เข้มงวด CNN รายงานว่าความโกลาหลในอัฟกานิสถานเมื่อเดือน ส.ค. หลังจากที่กลุ่มตอลิบานเข้ายึดครองประเทศได้สำเร็จ ส่งผลให้มีชาวอัฟกานิสถานหลายหมื่นคนอพยพลี้ภัยออกนอกประเทศ โดยราว 70,000 คน เดินทางสู่สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เผยว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาที่จะส่งผู้ลี้ภัยบางส่วนกลับอัฟกานิสถาน หากไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและคัดกรองด้านความมั่นคงเพื่อย้ายเข้าสหรัฐฯ แม้ว่าการส่งกลับประเทศจะเป็นทางเลือกเดียว แต่มันติดอยู่กับปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศที่ห้ามที่ห้ามบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศบ้านเกิด โดยขณะนี้มีผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยที่ถูกส่งตัวไปยังฐานทัพบอนด์สตีลในโคโซโวเพื่อรับการตรวจสอบเพิ่มเติม ท่ามกลางความหวาดกลัวของบรรดาผู้ลี้ภัย ซึ่งหลายคนไม่ทราบว่าทำไมเขาจึงถูกส่งตัวไปที่นั่น ต้องอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน และยังกังวลว่าพวกเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แหล่งข่าวระบุว่ามีผู้ลี้ภัยราว 200 คน ที่ถูกส่งตัวมายังฐานทัพแห่งนี้ ซึ่งสหรัฐฯตกลงกับรัฐบาลโคโซโวว่าจะให้พวกเขาอยู่ที่นั่นไม่เกิน 1 ปี อย่างไรก็ตามผู้ลี้ภัยส่วนหนึ่งที่ถูกส่งตัวมาได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบคัดกรองและถูกส่งต่อไปยังสหรัฐฯ แล้ว และจนถึงสัปดาห์ที่แล้วยังไม่มีผู้ลี้ภัยคนใดที่ถูกพิจารณาว่าไม่ผ่าน แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะดำเนินการอย่างไรหากมีผู้ลี้ภัยที่ไม่ผ่านการคัดกรองสำหรับการลี้ภัยไปยังสหรัฐฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่และนักการเมืองสหรัฐฯ บางส่วนกังวลว่าพวกเขาจะถูกลอยแพ เอมิลี ฮอร์น โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า “ชาวอัฟกันทุกคนที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและคัดกรองด้านความมั่นคงก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ บางคนอาจถูกประทับตราจากหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้าย สำนักข่าวกรอง หรือเจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมายของสหรัฐสำหรับการตรวจสอบคัดกรองเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าระบบของเรากำลังทำงาน” Photo by KARIM JAAFAR / AFP…

ตำรวจเนเธอร์แลนด์ลุยปราบจลาจล ต่อต้านล็อกดาวน์ จุดไฟเผาวอดหลายพื้นที่

Loading

  เนเธอร์แลนด์เผชิญกับเหตุจลาจล ต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่ เป็นคืนที่สามติดต่อกันแล้ว โดยตำรวจจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้มากกว่า 130 คนทั่วประเทศ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองรอตเทอร์ดาม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ว่า ผู้ประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ควบคุมโรคโควิด-19 ก่อจลาจลตามเมืองใหญ่หลายแห่งในเนเธอร์แลนด์ ต่อเนื่องเป็นคืนที่สาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์ยังคงรุนแรงที่สุด มีการจุดไฟเผาหลายจุด ในเมืองรอตเทอร์ดาม เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ ตำรวจจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้อีก 26 คน   เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวหนึ่งในผู้ร่วมก่อความไม่สงบ ที่กรุงเฮก Chaos hits #TheHague streets as #COVID protest turns violent#Netherlands pic.twitter.com/fPYg7PCWhh — Ruptly (@Ruptly) November 21, 2021 Chaos hits #TheHague streets as #COVID protest turns violent#Netherlands pic.twitter.com/fPYg7PCWhh — Ruptly…

ตำรวจใหญ่นิวซีแลนด์ระบุ มัลแวร์เรียกค่าไถ่จะไม่เกิด หากไม่มีคริปโทเคอเรนซี

Loading

  เครก แฮมิลตัน (Craig Hamilton) ผู้อำนวยระดับชาติของฝ่ายอาชญากรรมทางการเงิน สังกัดสำนักงานตำรวจนิวซีแลนด์ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภาว่าหากไม่มีคริปโทเคอเรนซี อาชญากรรมคอมพิวเตอร์หลายประเภทจะไม่เกิด โดยเฉพาะการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ “หากไม่มีคริปโทเคอเรนซี ก็จะไม่มีการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่อย่างที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ตอนนี้” แฮมิลตันระบุ โดยหลักฐานที่เขานำมาแสดงต่อคณะกรรมาธิการฯ คือเหตุการณ์โจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ต่อคณะกรรมการด้านสาธารณสุขเขตของเมืองไวกาโตเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการดังกล่าวก่อตั้งขึ้นเพื่อศึกษาคริปโทเคอเรนซี เพื่อพยายามหาวิธีการกำหนดมาตรการควบคุมที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Marsh McLennan บริษัทตัวแทนประกันยักษ์ใหญ่ประเมินว่าร้อยละ 98 ของการโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่เมื่อปีที่แล้วนั้นเรียกค่าไถ่เป็นบิตคอยน์ เนื่องจาก ช่วยให้อาชญากรทางไซเบอร์สามารถรับเงินค่าไถ่โดยที่ยังรักษาความเป็นนิรนามไว้ได้อย่างมาก ที่มา Stuff.co.nz     ที่มา : beartai           /   วันที่เผยแพร่ 21 พ.ย.64 Link : https://www.beartai.com/news/itnews/858297

สหราชอาณาจักรประกาศให้กลุ่มฮามาส “เป็นองค์กรก่อการร้าย”

Loading

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรแบนทั้งฝ่ายการทหาร และฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส เป็น “องค์กรก่อการร้าย”   สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ว่านางปริตี ปาเทล รมว.มหาดไทยของสหราชอาณาจักร แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่ากลุ่มฮามาส “พร้อมเครือข่ายทั้งหมดทางการเมืองและการทหาร” เป็น “องค์กรก่อการร้าย” ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลสหราชอาณาจักรขึ้นบัญชีดำเฉพาะฝ่ายการทหารของกลุ่มฮามาส ที่ปกครองฉนวนกาซามานานกว่า 1 ทศวรรษ แต่ปาเทลกล่าวว่า นับจากนี้ กฎหมายของสหราชอาณาจักรจะครอบคลุมหน่วยงานทุกแห่ง ที่อยู่ภายใต้กลุ่มฮามาส   UK designates Palestinian group Hamas as a terrorist organisation including both its political and military arms. Here’s a closer look at the group: pic.twitter.com/0bLTyNmlQd — TRT…

ตร.สหรัฐฯ ออกหมายจับผู้โดยสารทำปืนลั่นกลางสนามบิน บาดเจ็บ 3 คน

Loading

  เกิดเหตุโกลาหลขึ้นที่สนามบินสหรัฐฯ เมื่อผู้โดยสารคนหนึ่งทำปืนลั่นขณะอยู่ในจุดตรวจค้นสัมภาระ ส่งผลให้มีคนบาดเจ็บเล็กน้อย 3 คน บรรยากาศภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินนานาชาติฮาร์ตสฟีลด์–แจ็กสัน แอตแลนตา ในช่วงบ่ายวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสับสนวุ่นวาย หลังมีผู้โดยสารทำปืนลั่นที่บริเวณจุดตรวจค้นสัมภาระ จนทำให้ผู้คนแตกตื่นพากันหมอบต่ำและวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เพราะเข้าใจว่ามีเหตุกราดยิงเกิดขึ้น แถลงการณ์จากสำนักงานความปลอดภัยด้านคมนาคมขนส่งหรือ TSA ระบุว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อพนักงานเข้าไปตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งที่เครื่องเอกซเรย์ส่งสัญญาณเตือนว่ามีวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนอยู่     ระหว่างนั้น ผู้โดยสารที่เป็นเจ้าของกระเป๋า พยายามเข้าไปหยิบปืนที่อยู่ในกระเป๋าก่อนทำปืนลั่น และอาศัยช่วงชุลมุนวิ่งหลบหนีไป เคราะห์ดีไม่มีใครได้รับอันตรายจากกระสุนปืน แต่มีรายงานผู้โดยสาร 3 คน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยระหว่างอพยพ หลังเกิดเหตุ สนามบินต้องสั่งระงับเที่ยวบินขาออกเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาให้บริการอีกครั้งเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ มีรายงานผู้โดยสารติดค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ล่าสุด ตำรวจเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เรจีย ออกหมายจับนาย เคลลี เวลส์ เจ้าของปืนวัย 42 ปี ฐานปกปิดและพกพาอาวุธในสนามบินพาณิชย์ รวมถึงกระทำโดยประมาทจนทำให้ปืนลั่น สำหรับสนามบินนานาชาตินานาชาติ ฮาร์ตสฟีลด์–แจ็กสัน ถือเป็นสนามบินที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลกในปีนี้ และในช่วง 19-28 พฤศจิกายนนี้ จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการหนาแน่นเป็นพิเศษ เนื่องจากประชาชนจะเดินทางกลับบ้านเพื่อฉลองวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)…