เผยรายละเอียดมือปืนคลั่ง กราดยิง 10 ศพในซุปเปอร์มาร์เก็ตโคโลราโด

Loading

  หลังก่อเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญชาวอเมริกัน มือปืนวัย 21 ปี ได้ยอมมอบตัวกับตำรวจ ต่อมามีการสืบสวนพบความเชื่อมโยงกับ แนวคิดรุนแรงต่อต้าน “การเหยียดชาวมุสลิม” และพบว่าอาจจะไม่มีแรงจูงใจทางการเมือง เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ตำรวจสหรัฐฯ เปิดเผยว่า นายอาห์หมัด อัล อัลลีวี อลิซซา วัย 21 ปี ชาวอเมริกันเชื้อสายซีเรีย เป็นผู้ก่อเหตุกราดยิงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต “คิง ซูเปอร์ส” ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อบ่ายวันจันทร์ 22 มี.ค. ตามเวลาในสหรัฐฯ ล่าสุดเขาโดนตั้งข้อหา 10 ข้อหา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยมีการวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่า โดยเบื้องต้นตำรวจเชื่อว่าเขาลงมือก่อเหตุเพียงลำพัง และยังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้     ลำดับเหตุการณ์นองเลือด   เมื่อเวลา 14.40 นาฬิกา นายอลิซซา ใช้อาวุธปืนพก “Ruger AR-556” ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวันที่ 16 มี.ค. หรือประมาณ 1…

‘ไบเดน’ เรียกร้องผลักดันมาตรการควบคุมปืน หลังเหตุยิงกราดโคโลราโด

Loading

    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เรียกร้องคองเกรส ผลักดันมาตรการควบคุมปืน หลังเหตุยิงกราดซูเปอร์มาร์เก็ต ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด คร่าชีวิต 10 ราย เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้านตำรวจเมืองโบลเดอร์ตั้งข้อหาฆาตกรรมกับมือยิงกราด 10 กระทง ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารก่อนเดินทางไปรัฐโอไฮโอ แสดงความเสียใจต่อเหตุยิงกราดในซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด และให้ลดธงครึ่งเสาที่ทำเนียบขาวและอาคารสถานที่ราชการ เพื่อไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุยิงกราดครั้งล่าสุดนี้     ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้ผลักดันการปฏิรูปกฏหมายครอบครองปืน และห้ามซื้อขายปืนกลกึ่งอัตโนมัติทั่วประเทศ โดยระบุว่า ตนไม่ต้องการจะรอไปอีกแม้เพียงนาทีหรืออีกชั่วโมง เพื่อทำสิ่งที่ควรทำในการรักษาชีวิตของผู้คนเอาไว้ และเรียกร้องให้สมาชิกสภาสหรัฐฯ ให้ความสำคัญและเคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้วุฒิสภา ลงมติในมาตรการที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ว่าด้วยการอุดช่องโหว่ทางกฏหมาย เรื่องการตรวจสอบประวัติของผู้ที่จะซื้อปืนในสหรัฐฯ ระหว่างที่ในวันอังคาร คณะกรรมาธิการตุลาการของวุฒิสภาสหรัฐฯ จะรับฟังและหารือถึงหนทางในการลดความรุนแรงจากการใช้อาวุธปืนในสหรัฐฯ หลังเหตุยิงกราด 2 ครั้งในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา   Less than a week after the horrific…

สนามบินดูไบเริ่มใช้วิธี ‘ตรวจม่านตา’ แทนหนังสือเดินทาง

Loading

    ที่สนามบินดูไบ ผู้โดยสารสามารถใช้ม่านตาเพื่อยืนยันตัวตนโดยไม่จำเป็นต้องแสดงเอกสารใดๆ ระบบดังกล่าวเปิดตัวขึ้นในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งรัฐบาลยกให้โครงการนี้เป็นเครื่องมือในการช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เพราะวิธีดังกล่าวช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ระบบสแกนม่านตานี้ใช้ biometric หรือชีวมิติ ซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลเพื่อระบุตัวตน ทั้งนี้ระบบจดจำใบหน้าก็เป็นการใช้ไบโอเมตริกรูปแบบหนึ่ง ระบบดังกล่าวใช้วิธีการคล้ายกับที่ใช้ในเทคโนโลยีการพิมพ์ลายนิ้วมือ สนามบินดูไบใช้อุปกรณ์ในการสแกนม่านตาซึ่งเป็นส่วนที่มีสีของดวงตา โดยการให้ผู้โดยสารมองตรงเข้าไปในกล้องเพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพได้ การใช้ระบบสแกนม่านตานั้นแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำของเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ไบโอเมตริกของม่านตาถือว่าเป็นระบบที่เชื่อถือได้มากกว่าระบบที่สแกนใบหน้าของผู้คนจากระยะไกล ในสนามบินดูไบซึ่งเป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลกสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ผู้โดยสารจะเดินเข้าเครื่องสแกนม่านตาหลังจากเช็คอินแล้ว หลังจากที่มองเข้าไปในกล้องพวกเขาก็จะสามารถผ่านจุดตรวจหนังสือเดินทางได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยที่ไม่ต้องพกบัตรเดินทางกระดาษหรือใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ เจ้าหน้าที่ในดูไบกล่าวว่าการสแกนดังกล่าวนี้จะเชื่อมต่อข้อมูลม่านตาของบุคคลกับฐานข้อมูลการจดจำใบหน้าของ UAE ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องใช้เอกสารในการเดินทาง ระบบนี้เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทสายการบิน Emirates และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของดูไบ เจ้าหน้าที่กล่าวอีกว่าระบบจะช่วยให้ผู้โดยสารผ่านกระบวนการอัตโนมัติตั้งแต่การเช็คอินไปจนถึงการขึ้นเครื่องบินได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย พลตรี Obaid Mehayer Bin Suroor รองอธิบดีกองอำนวยการทั่วไปด้านถิ่นที่อยู่และกิจการต่างประเทศของดูไบบอกกับ The Associated Press ว่าการสแกนม่านตานี้เป็นระบบอัจฉริยะที่ใช้เวลาเพียงห้าถึงหกวินาที อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังหวั่นเกรงว่าเทคโนโลยีนี้จะทำให้สูญเสียความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกันกับระบบจดจำใบหน้า ทั้งนี้ UAE ได้เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการสอดส่องนักข่าวและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ในคำชี้แจงสิทธิส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบไบโอเมตริก Emirates ระบุไว้ว่าทางสายการบินเชื่อมโยงใบหน้าของผู้โดยสารกับข้อมูลระบุตัวบุคคลอื่นๆ รวมถึงหนังสือเดินทางและข้อมูลเที่ยวบิน นอกจากนี้ยังเสริมว่าข้อมูลดังกล่าวสามารถเก็บไว้ได้ตราบเท่าที่มีความจำเป็นตามสมควรสำหรับวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของ Emirates ยังระบุด้วยว่าข้อมูลไบโอเมตริกที่รวบรวมทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในสารบบ…

จีนคุม ‘แอปฯ มือถือ’ ห้ามเก็บข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เกินจำเป็น เริ่มพ.ค. นี้

Loading

  จีนคุม ‘แอปฯ มือถือ’ ห้ามเก็บข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เกินจำเป็น เริ่มพ.ค. นี้ สำนักกำกับดูแลไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) รายงานว่าทางการจีนออกแนวปฏิบัติห้ามผู้ให้บริการแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นอย่างผิดกฎหมาย แนวปฏิบัติดังกล่าวระบุว่าแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือไม่สามารถปฏิเสธการเข้าถึงบริการของผู้ใช้ได้ หากผู้ใช้ปฏิเสธจะแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็น ขอบเขตข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นสำหรับแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือ 39 ประเภท เช่น แอปพลิเคชันนำทางอาจเข้าถึงตำแหน่งที่อยู่ ต้นทางและปลายทางของผู้ใช้ หรือแอปพลิเคชันส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีอาจเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอย่างหมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้ บัญชีการส่งข้อความ และบัญชีของผู้ติดต่อ ทั้งนี้ สำนักฯ เผยว่าแนวปฏิบัติดังกล่าวมีเป้าหมายควบคุมการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลผ่านแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือ เพื่อรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป ข้อมูลจาก สำนักข่าวซินหัว ——————————————————————————————————————————————- ที่มา : thebangkokinsight           / วันที่เผยแพร่ 23 มี.ค.2564 Link : https://www.thebangkokinsight.com/579175/

Acer ถูกแรนซัมแวร์โจมตีพร้อมเรียกค่าไถ่ถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

Loading

Acer บริษัทยักษ์ใหญ่ในผลิตภัณฑ์กลุ่ม โน๊คบุ๊ค แล็ปท็อป และจอมอนิเตอร์ ได้ถูกแรนซัมแวร์เข้าเล่นงาน แถมยังโดนเรียกค่าไถ่สูงมากถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามรายงานข่าวพบว่าคนร้ายได้เผยแพร่หลักฐานของการเข้าถึงระบบผ่านเว็บไซต์ ซึ่งมีภาพของข้อมูลส่วนที่เป็น เอกสารการเงิน และข้อมูลเกี่ยวกับธนาคาร โดยข้อมูลเบื้องต้นจากหลายแห่งคาดว่าจะเป็นแรนซัมแวร์สายพันธุ์ REvil (บริษัทยังไม่ได้แถลงเหตุการณ์อย่างเป็นทางการแต่บอกว่ากำลังสืบสวนอยู่) อย่างไรก็ดีจากข้อมูลแชทที่ปรากฏคาดว่า Acer น่าจะถูกโจมตีวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ก็ช็อเพราะราคาค่าไถ่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากนั้นคนร้ายเสนอที่จะลดราคาให้ 20% หากจ่ายในเวลาที่กำหนด และสัญญาจะให้ตัวแก้ รายงานช่องโหว่ และไฟล์ที่ถูกขโมยไป พอมาถึงจุดนึงคนร้ายก็ขู่ว่าอย่าให้เกิดเหตุซ้ำรอยกับ SolarWinds เลย (ไม่รู้ว่ามีนัยยะแฝงอะไรหรือเปล่า)     การเรียกค่าไถ่ครั้งนี้ถือว่าทำลายสถิติของแรนซัมแวร์สายพันธุ์ REvil จากการเรียกค่าไถ่ Dairy Farm ที่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้มีแหล่งข่าวชี้ว่าการโจมตีครั้งนี้อาจสำเร็จได้เพราะช่องโหว่ Microsoft Exchange ที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ ซึ่ง TechTalkthai เองก็ได้นำเสนอข่าวเตือนผู้ใช้ไปหลายครั้งแล้วนะครับ (https://www.techtalkthai.com/microsoft-patches-4-zero-days-for-exchange-server/) ที่มา : https://www.bleepingcomputer.com/news/security/computer-giant-acer-hit-by-50-million-ransomware-attack/…

จีนสั่งห้ามขับรถ “เทสลา” เข้าเขตทหาร หวั่นสอดแนมเขี้ยวเล็บมังกร

Loading

    กลุ่มสื่อต่างชาติ รายงาน (20 มี.ค.) วอลล์ สตรีท เจอร์นัล (The Wall Street Journal) หนังสือพิมพ์รายวันชั้นนำอ้างแหล่งข่าวระบุว่า กองทัพจีนมีคำสั่งห้ามขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเทสลา (Tesla) เข้าสู่เขตที่ทำการของกองทัพ และอาคารที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่กองทัพ มาตรการดังกล่าวเกิดจากความกังวลว่ากล้องของเทสลาจะเก็บภาพและข้อมูลของกองทัพ และส่งกลับไปยังสหรัฐฯ รายงานระบุว่า กล้องแบบรอบทิศทาง (Multi-direction) และระบบเซนเซอร์อาจเปิดเผยที่ตั้งของกองทัพ ทำให้ข้อมูลลับของกองทัพรั่วไหล ทำให้ผู้ขับรถยนต์เทสลาจะต้องจอดรถยนต์อยู่ด้านนอกเขตการทหาร ปัจจุบัน รถยนต์ของเทสลาได้รับติดตั้งกล้องขนาดเล็กรอบคัน ช่วยให้คนขับสามารถจอดรถยนต์ และใช้ระบบนำทางอัตโนมัติ (autopilot) และ ระบบขับขี่ด้วยตนเอง (self-driving) นอกจากนี้ เทสลามีกล้องภายในห้องโดยสาร เพื่อตรวจสอบได้ว่าคนขับกำลังมองไปยังถนนหรือไม่ รถยนต์ดังกล่าวยังบันทึกข้อมูลสถานที่และช่วงเวลาการใช้รถยนต์ รวมทั้งเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในโทรศัพท์มือถือ หากมีการเชื่อมต่อระบบกับรถยนต์ ทั้งนี้ กระแสข่าวดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นเทสลา อิงค์ ร่วงลงกว่าร้อยละ 4 เมื่อวันศุกร์ (19 มี.ค.)   ———————————————————————————————————————————————————– ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์     /…