แนวโน้มล่าสุดของสงครามไซเบอร์ (CYBERWARFARE) และการจารกรรมทางดิจิทัล (ESPIONAGE)

Loading

ที่มาภาพ: https://www.forbes.com/sites/steveandriole/2020/01/14/cyberwarfare-will-explode-in-2020-because-its-cheap-easy–effective/#53af1d216781 Written by Kim  “สงครามไซเบอร์จะระเบิดขึ้นในปี 2020 เพราะ “ต้นทุน (ราคา) ถูก ง่ายและมีประสิทธิภาพ” Steve Andriole, Professor of Business Technologyin the Villanova School of Business at Villanova University” ในการแข่งขันเพื่อเป็นชาติแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID-19) ปรปักษ์ของสหรัฐฯได้แอบขโมยข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนดังกล่าวจากมหาวิทยาลัย บริษัทเภสัชภัณฑ์และสถาบันดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและศักดิ์ศรีของประเทศรวมทั้งแรงกระตุ้นทางการเงินประกอบกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ – จีนที่เสื่อมทรามลง โอกาสที่ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันจึงมีค่าเท่ากับศูนย์ (nil) ขณะที่กลุ่ม Cozy Bear นักเจาะระบบชาวรัสเซีย ซึ่งใกล้ชิดกับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศรัสเซีย (SVR) ได้เล็งเป้าที่การวิจัยวัคซีนดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ดี รัสเซีย จีนและปรปักษ์อื่น ๆ ต่างก็ใช้ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในการ “ชักชวน” ให้นักเจาะระบบผู้ช่ำชองและอาชญากรไซเบอร์ “ทำงาน” ที่ยากต่อการเชื่อมโยงกลับไปยังรัฐผู้อุปถัมป์ (state sponsors)[1] ปัจจุบัน นักเจาะรบบจากจีน รัสเซียและอิหร่านได้ขโมยข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาจากมหาวิทยาลัย บริษัทเวชภัณฑ์และสถาบันดูแลสุขภาพในสหรัฐฯ โดยทำให้การแข่งขันเพื่อเป็นชาติแรกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ทวีความรุนแรง ทั้งนี้ การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyberattacks) ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศเหล่านี้…

ภูมิทัศน์ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายระดับโลกในปี 2019

Loading

ดาวน์โหลดเอกสารที่ https://www.state.gov/country-reports-on-terrorism-2/ Written by Kim กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่รายงานการก่อการร้ายรายประเทศประจำปี 2019 (Country Reports on Terrorism 2019)[1] สรุปภาพรวมภูมิทัศน์ของภัยคุกคามทั่วโลกโดยเน้นความคืบหน้าในการต่อต้านการก่อการร้ายในพื้นที่ต่าง ๆ และยอมรับว่ายังมีความท้าทายสำคัญรออยู่ข้างหน้า ทั้งนี้ กลุ่ม Salafi-jihadist[2] รวมถึงรัฐอิสลาม (Islamic State -IS) และ al-Qaida ยังคงเป็นปฏิปักษ์ที่ยืดหยุ่นและเป็นภัยคุกคามความมั่นคงโลกผ่านกลุ่มพันธมิตรและขยายพื้นที่ปฏิบัติการใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้รายงานจะบ่งชี้ว่า สหรัฐฯกดดันอิหร่าน “ขั้นสูงสุด” โดยประกาศให้กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps – IRGC) อิหร่านเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ แต่ผลที่ได้มีความหลากหลายรวมกัน หากมองในแง่ดีที่สุด[3] เมื่อ 24 มิถุนายน 2020 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่รายงานประจำปีเกี่ยวกับการก่อการร้ายรายประเทศโดยสรุปภาพรวมภูมิทัศน์ภัยคุกคามทั่วโลก สาระสำคัญส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยรวมทั้งภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายที่ยังคงอยู่และบทบาทของอิหร่านในการสนับสนุน (ตัวแทน) กลุ่มก่อการร้าย เช่น กลุ่ม Hezballah ปลุกปั่นการก่อการร้ายและความรุนแรงสุดโต่งทั่วโลก (จากตะวันออกกลางถึงละตินอเมริกา) และยอมรับว่าเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติที่มีเหตุจูงใจด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ก่อการร้ายคนขาวผู้สูงส่ง (white supremacist terrorists) เป็นภัยคุกคามความมั่นคง ในเบื้องต้นรายงานมุ่งเน้นเหตุการณ์ในปี 2019 ซึ่งสหรัฐฯและพันธมิตรสามารถเอาชนะและกำจัดที่มั่นสุดท้ายของ IS ใน Baghouz…

เมื่อข่าวกรอง (Intelligence) ถูกทำให้เป็นการเมือง (Politicizing): อันตรายของประเทศ

Loading

https://www.npr.org/2020/07/01/885909588/trump-calls-bounty-report-a-hoax-despite-administration-s-briefing-of-congress Written by Kim รัฐบาลของประธานธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯมีมาตรฐานการปฏิบัติต่อรายงานใด ๆ ที่เผยให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ประจบประแจงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ด้วยการตีตราว่ารายงานนั้นเป็น “ข่าวปลอม” การทำให้รายงานประมาณการข่าวกรองแห่งชาติ (national intelligence assessments) และการวิเคราะห์จากประชาคมข่าวกรองเป็น “การเมือง” (politicizing) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลทางลบอย่างมหาศาลและก่อให้เกิดความจริงทางเลือก (alternative facts) ที่ขัดแย้งไม่สำคัญทางการเมืองรวมทั้งการวิเคราะห์ฝ่ายเดียว ทั้งนี้ มีหน่วยงานพลเรือนของรัฐบาลกลางเพียงไม่กี่แห่งที่ไม่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์และผู้จงรักภักดีทางการเมือง ป้ายสีว่าลำเอียงเข้าข้าง ทรยศหรือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐพันลึก (Deep State)[1] ระหว่างการนำสหรัฐฯเข้าสู่หายนะของการรุกรานอิรักในปี 2003 รัฐบาลของประธานาธิบดีบุชประสบความสำเร็จอยู่บ้างในการคัดเลือกเฉพาะข่าวกรองที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง (casus belli) เพื่อเข้าทำสงคราม จากนั้นรองประธานาธิบดี Dick Cheney ได้แทรกแซงและจุ้นจ้านกับการวิเคราะห์ของสำนักงานข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency – CIA) โดยใช้การเมืองกดดันหน่วยข่าวกรองมืออาชีพฝ่ายพลเรือน โดยผลพวงของความขัดแย้งดังกล่าวยังคงรู้สึกได้จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลสหรัฐฯมักจัดลำดับความสำคัญและออกคำสั่งข่าวกรองแห่งชาติ (national intelligence directives) มอบหมายภารกิจให้หน่วยงานข่าวกรองรวบรวม วิเคราะห์ ประมาณการและแจกจ่ายรายงานข่าวกรองตามลำดับความสำคัญและวัตถุประสงค์ เมื่อใดที่รัฐบาลพยายามแสวงหาข่าวกรอง เพื่อสนับสนุนข้อกำหนดที่มีอยู่ก่อน (pre-existing preference) หรือความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นตามมาย่อมเลวร้ายเสมอ นี่คือแนวโน้มความแตกแยกที่ถูกตรวจสอบโดยข้าราชการพลเรือนที่ทำหน้าที่รับใช้ฝ่ายบริหารทุกระดับของรัฐบาล…

แค่ไหนเรียก VIP? ‘เอกสิทธิ์ทางการทูต’ คืออะไร

Loading

ทำความรู้จักความหมายของ “เอกสิทธิ์ทางการทูต” จากกรณีครอบครัวทูตซูดานที่เดินทางเข้าไทยและมีสมาชิกคนหนึ่งติดโควิด-19 ใช้สิทธิทางการทูตเพื่อเลี่ยงการกักตัวในสถานที่ที่กำหนด จนเกิดเสียงวิจารณ์หนักถึงความไม่เท่าเทียมในการควบคุมโรคระหว่างสามัญชนกับทูต ขณะนี้ สังคมไทยกำลังให้ความสนใจกับ “เอกสิทธิ์ทางการทูต” ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่บรรดานักการทูต รวมถึงครอบครัวได้รับระหว่างเดินทางและพำนักในต่างประเทศ หลังเกิดกรณีที่บุตรสาววัย 9 ขวบของอุปทูตซูดานเดินทางเข้าไทยและถูกตรวจพบติดเชื้อโควิดที่สนามบิน แต่กลับเลี่ยงการกักตัวในสถานเอกอัครราชทูตของตนซึ่งเป็นสถานที่กักกันที่รัฐกำหนด โดยอ้างสิทธิทางการทูต และออกไปพักที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จนล่าสุดกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 อีกรอบ ในวันอังคาร (14 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงกรณีนี้ว่า การดูแลคณะทูตต่างประเทศที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย ขณะนี้จะต้องรักษาสมดุลตามอนุสัญญาเวียนนา และการควบคุมโรคของประเทศไทย ซึ่งจากกรณีบุตรสาวอุปทูตซูดาน ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ ขอให้สำนักงานศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) หรือ ศบค. และ ศบค.ชุดเล็ก พิจารณาทบทวนมาตรการการเดินทางของคณะทูตใหม่ทั้งหมด เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและให้เกิดความมั่นใจในการควบคุมโรคโควิด-19 “เราจะขอให้คณะทูตที่เดินทางเข้าประเทศไทย ต้องได้รับการกักตัวยังสถานที่ที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งเป็นสถานที่กักกันทางเลือกที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง จากเดิมที่ต้องหาเชื้อโควิด-19 และ ให้กักตัวในพื้นที่สถานเอกอัครราชทูต เอง 14 วัน” นายเชิดเกียรติ อัตถากร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุ และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยจากการอ้างเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันทางการทูตในอนาคต ศบค. จึงมีมติทบทวนมาตรการผ่อนคลายมาตรการกักกันของบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว เอกสิทธิ์-ความคุ้มกันทางทูต/กงสุล คืออะไร ทำไมต้องมี เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน (Privilege & Immunity) หมายถึง สิทธิประโยชน์และความคุ้มกันจากการถูกบังคับตามกฎหมายบางประเภทที่รัฐผู้รับให้แก่คณะผู้แทนทางทูตและตัวแทนทางทูต และเจ้าพนักงานกงสุลของรัฐผู้ส่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้แทนทางทูตและเจ้าพนักงานกงสุลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอกสิทธิ์และความคุ้มกันของตัวแทนทางทูตและเจ้าพนักงานกงสุลจะเริ่มตั้งแต่ขณะที่บุคคลนั้นเข้ามาในอาณาเขตของรัฐผู้รับในการเดินทางไปรับตำแหน่งของตน และเมื่อการหน้าที่ของตัวแทนทางทูตและเจ้าพนักงานกงสุลยุติลง เอกสิทธิ์และความคุ้มกันจะสิ้นสุดลงขณะที่บุคคลนั้นออกไปจากประเทศของรัฐผู้รับ ทั้งนี้ เอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางทูตและกงสุลมีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ซึ่งในปัจจุบันมีสถานะเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ได้แก่…

ทำไมเราจึงถือหนังสือเดินทางพิเศษและอพยพออกจากบ้านเกิด

Loading

เกรซ ชอย บีบีซี นิวส์ ฮ่องกง นับตั้งแต่จีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่มีความเข้มงวด ผู้คนก็เริ่มพูดคุยกันถึงกลยุทธ์การอพยพออกจากฮ่องกง มีชาวฮ่องกงมากถึง 3 ล้านคนที่สามารถอพยพออกไปได้โดยใช้หนังสือเดินทางสัญชาติบริติชโพ้นทะเล (British National Overseas–BNO) พวกเขาจะเลือกใช้แนวทางนี้อพยพออกไปจริง ๆ หรือไม่ แล้วคนที่เหลืออยู่จะทำอย่างไร ไมเคิลและเซเรนา ตัดสินใจเดินทางออกจากฮ่องกงเป็นการถาวร และไปลงหลักปักฐานในสหราชอาณาจักร ประเทศที่พวกเขาไม่เคยย่างเท้าไปเหยียบ สามีภรรยาคู่นี้มีหนังสือเดินทาง BNO ซึ่งออกให้กับชาวฮ่องกงที่ลงทะเบียนก่อนที่จะมีการส่งมอบฮ่องกงคืนให้แก่จีนในเดือน ก.ค. 1997 หนังสือเดินทางประเภทนี้มอบสิทธิ์ในการได้รับความช่วยเหลือด้านกงสุลหลายอย่าง สำหรับหลายคนการนำหนังสือเดินทางนี้ไปใช้ประโยชน์ดูเหมือนจะมีข้อจำกัดอยู่มาก แต่มันก็ช่วยให้เดินทางเข้าสหราชอาณาจักรและยุโรปได้ง่ายขึ้น คนบางส่วนจึงสมัครขอหนังสือเดินทางนี้ไว้ ชาวฮ่องกงจำนวนมากอาจจะคิดว่า ทำไมจะไม่ขอไว้ล่ะ ไมเคิลและเซเรนา เดินทางออกจากฮ่องกงพร้อมกับลูกสาววัย 13 ปี พวกเขาเป็นผู้จัดการธนาคาร และซื้อแฟลตหลังหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน การเดินทางออกมาจึงมีหลายอย่างที่ต้องสละทิ้ง มีการประท้วงที่รุนแรงหลายครั้งในฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว พวกเขาบอกว่า ฮ่องกงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หลังจากต้องเผชิญกับการประท้วงยืดเยื้อนานหลายเดือนที่มีชนวนมาจากร่างกฎหมายที่เสนอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ได้ สิ่งที่สามีภรรยาคู่นี้มองเห็นคือ รัฐบาลที่ไม่ฟังเสียงประชาชน และตำรวจที่ใช้กำลังกับประชาชนโดยไม่มีการยับยั้ง ลูกสาวของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมากจากการประท้วง แม้ว่าทางครอบครัวไม่ได้เข้าร่วมการประท้วงเพราะทั้งสองคนทำงานที่ธนาคารของจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งพนักงานจะถูกไล่ออกหากเข้าร่วมประท้วง “ลูกโกรธและหงุดหงิดมาก เธอถาม ลูกถามตลอดว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ทางการถึงทำกับเราอย่างนั้น” เซเรนาเล่า เธอบอกว่าลูกสาวบอกกับเธอและสามีว่า…

อุปกรณ์พกพาเพื่อการตรวจหาการสัมผัสเชื้อในสิงคโปร์ ทำงานอย่างไร

Loading

ไซรา อาเชอร์ บีบีซี นิวส์ สิงคโปร์ อุปกรณ์ขนาดพกพาที่ชื่อ เทรซ ทูเกตเตอร์ โทเคน (Trace Together Tokens) คือเทคโนโลยีล่าสุดของสิงคโปร์ในการรับมือกับโควิด-19 อุปกรณ์ที่พกติดตัวได้นี้ช่วยให้แอปพลิเคชันตรวจจับการสัมผัสเชื้อไวรัสโคโรน่าที่มีการใช้งานอยู่แล้วทำงานได้ดีขึ้น ในการระบุตัวผู้ที่อาจจะติดเชื้อไวรัสจากผู้ที่มีเชื้ออยู่แล้ว ผู้ใช้งานต้องพกพาอุปกรณ์นี้ ซึ่งทำงานด้วยแบตเตอรีที่มีพลังงานสะสมถึง 9 เดือน เรื่องนี้สร้างความ “ตกตะลึง” แก่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง หน่วยงานของรัฐบาลที่พัฒนาอุปกรณ์นี้ ทราบดีว่า อุปกรณ์ประเภทนี้ และเทคโนโลยีโดยทั่วไป ไม่ใช่ “ยาวิเศษ” ที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่มันจะมาช่วยเสริมความพยายามในการตรวจจับการสัมผัสเชื้อของคน คนกลุ่มแรกที่จะได้รับอุปกรณ์นี้ไปใช้งานคือ ผู้สูงอายุหลายพันคน ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง โดยพวกเขาจะต้องแจ้งหมายเลขประจำตัวประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์ เช่นเดียวกับผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน เทรซทูเกตเตอร์ (Trace Together) ถ้าผู้ใช้อุปกรณ์นี้ถูกตรวจพบว่าติดโรคโควิด-19 พวกเขาต้องส่งมอบอุปกรณ์คืนให้กระทรวงสาธารณสุข เพราะอุปกรณ์นี้ไม่สามารถส่งข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้หมือนแอปฯ ดังกล่าว จากนั้น อุปกรณ์นี้ จะใช้ข้อมูลที่ถูกเก็บบันทึกไว้ ในการระบุตัวผู้ที่อาจจะติดเชื้อ เครื่องมือขนาดพกพาในกระเป๋ากางเกงได้นี้ทำงานโดยการสื่อสารทางบลูทูธกับเครื่องมือชนิดเดียวกัน หรือโทรศัพท์มือถือที่มีแอปฯเดียวกัน โดยเก็บข้อมูลการสื่อสารไว้ 25 วัน แล้วลบทิ้ง ถ้าผู้ใช้อุปกรณ์นี้ ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโรคโควิด-19 ต้องนำเครื่องนี้มาให้ทางการเพือตรวจสอบข้อมูลใเนครื่องว่าติดต่อกับใครบ้าง…