รวบยุ่นคาสนามบินดอนเมือง หอบซากระเบิดเคลย์มอร์-แมกกาซีนเอ็ม-16 บินกลับญี่ปุ่น มึนอ้างไม่รู้ผิด กม.ไทย

Loading

MGR Online – รวบหนุ่มญี่ปุ่นคาสนามบินดอนเมือง หอบแมกกาซีนปืนเอ็ม 16 ระเบิดเคลย์มอร์ รับซื้อมาจากเวียดนามกำลังจะเดินทางต่อไปญี่ปุ่น อ้างเป็นของสะสม ไม่รู้ผิดกฎหมายประเทศไทย อีโอดีเข้าตรวจสอบระบุยุทธภัณฑ์ทั้งหมดไม่สามารถใช้งานได้ วันนี้ (9 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจท่องเที่ยวประจำท่าอากาศยานดอนเมืองได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่การท่าอากาศแห่งประเทศไทย ว่าพบชายชาวญี่ปุ่นนำเครื่องยุทธภัณฑ์เป็นแมกกาซีนของอาวุธปืนเอ็ม 16 ขึ้นเครื่องบิน ปลายทางที่ประเทศญี่ปุ่น จากการตรวจสอบพบว่า ชายชาวญี่ปุ่นกำลังจะเดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยนำกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องเอกซเรย์ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เจอแมกกาซีนปืน ระเบิดเคลย์มอร์ จึงขอตรวจสอบพบเครื่องยุทธภัณฑ์ต่างๆ เช่น ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล M 18 A 1 เคลย์มอร์ จำนวน 1 ทุ่น(ไม่มีดินระเบิด) ชนวนจุดระเบิด M 57 แม็กกาซีนปืนขนาด 5.56. มม.จำนวน 1 แม็ก (ชนิดยาว) แม็กกาซีนปืนขนาด 5.56. มม.จำนวน 13 แม็ก(ชนิดสั้น) แม็กกาซีนขนาด 7.62 มม.จำนวน 8 แม็ก…

กล้องวงจรปิดกว่า 60 ตัวในญี่ปุ่นถูกแฮกเกอร์เข้าถึงเพราะไม่เปลี่ยนรหัสผ่าน

Loading

  แฮกเกอร์จำนวนหนึ่งสามารถเข้าถึงระบบกล้องวงจรปิดกว่า 60 ตัวที่ผลิตโดย Canon Inc. ซึ่งถูกติดตั้งตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น โดยกล้องทั้งหมดมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อการดูภาพจากระยะไกล รายงานข่าวระบุว่าภาพจากกล้องบางส่วนจะปรากฏข้อความที่แฮกเกอร์ทิ้งไว้ว่า “I’m Hacked. bye2.” อยู่ด้วย หลังเกิดเหตุ เมืองยะชิโยะในจังหวัดชิบะ และเมืองอะเงะโอะในจังหวัดไซตะมะ ซึ่งสูญเสียการควบคุมกล้องวงจรปิดในพื้นที่คลองส่งน้ำ ต่างก็ออกมายอมรับว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนรหัสผ่านของกล้องวงจรปิด แต่ใช้ค่าเดิมที่ตั้งมาจากโรงงาน ซึ่งหลังจากตรวจพบความผิดปกติจึงได้ทำการเปลี่ยนรหัสผ่านและตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต รวมถึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ส่วนทางด้าน Canon ได้ออกมาแนะนำผ่านทางเว็บไซต์ว่าผู้ติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดทั้งหมดควรทำการเปลี่ยนรหัสผ่านเสียใหม่ นอกจากนี้ยังมีรายงานถึงเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นกับกล้องวงจรปิดในอีกหลายพื้นที่ เช่น ตลาดปลาในจังหวัดฮิโระชิมะ ศูนย์ดูแลผู้พิการในจังหวัดเฮียวโงะ และบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดโอกินาวะ   ———————————————————————————————————————————————- ที่มา : Blognone | wklk     /  วันที่ 7 พ.ค.61 ลิงก์ : https://www.blognone.com/node/102064

ตัวแทน AWS อาเซียนยืนยัน ระบบคลาวด์ไม่ได้ถูกแฮกกรณีข้อมูลหลุด, มีการป้องกันและแจ้งเตือนหลายชั้น

Loading

  เดือนที่แล้วมีประเด็นอื้อฉาวในวงการโทรคมนาคมและความปลอดภัยไซเบอร์ในบ้านเรา กรณีที่โอเปอเรเตอร์ทำข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าหลุด จากการเปิด bucket บน S3 เป็นพับลิกแล้วอ้างว่าถูกแฮก วันนี้ Blognone ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Santanu Dutt ตำแหน่ง Senior Manager ฝั่ง Solution Architecture ของ AWS ในอาเซียน ซึ่งคุณ Santanu ยืนยันว่ากรณีดังกล่าว AWS ไม่ได้ถูกแฮกและระบบก็มีโซลูชันความปลอดภัยที่แน่นหนา หลายชั้น รวมถึงมีการแจ้งเตือนความผิดพลาดหรือความเสี่ยงต่างๆ อยู่ตลอดเวลา คุณ Santanu บอกว่า AWS ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีประเด็นด้านความปลอดภัยเป็นหนึ่งในปัจจัยตั้งต้นอันดับแรกๆ ขณะเดียวกันบริษัทก้ได้รับมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับโลกมากมาย โซลูชันด้านความปลอดภัยหลังบ้านก็ค่อนข้างครอบคลุมและหลากหลาย อย่างการยืนยันตนด้วย 2FA, ระบบบันทึก log ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระบบ, ระบบ Machine Learning ที่ตรวจสอบความปลอดภัยต่างๆ เป็นต้น     ที่สำคัญที่สุดคือ AWS มีการแจ้งเตือนประเด็นหรือความเสี่ยงต่างๆ บนหน้า Dashboard ที่เห็นได้ชัดและจะไม่หายไปจนกว่าจะแก้ไข…

พนักงานเฟซบุ๊กมีอภิสิทธิ์ ได้รับแจ้งเตือนเมื่อพนักงานคนอื่นส่องข้อมูลส่วนตัว

Loading

  เฟซบุ๊กถือข้อมูลส่วนตัวคนจำนวนมาก และบางครั้งพนักงานก็ใช้อำนาจในทางไม่ชอบไปส่องข้อมูลส่วนตัวที่ตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์ดู ปัญหาเช่นนี้ทำให้มีคำถามว่าพนักงานเฟซบุ๊กด้วยกันเองจะมีปัญหาพนักงานแอบส่องข้อมูลกันเองหรือไม่ และทางเฟซบุ๊กก็ออกมาตอบว่าสำหรับพนักงานของเฟซบุ๊กเอง จะได้รับแจ้งเตือนเมื่อมีพนักงานคนอื่นเข้าไปส่องข้อมูลในบัญชี โฆษกของเฟซบุ๊กระบุว่าบริษัทเคยพิจารณาว่าจะปล่อยฟีเจอร์ “แบบเดียวกัน” ให้กับผู้ใช้ทั่วไป แต่ก็ต้องคิดถึงผลกระทบที่ตามมา เช่น ฟีเจอร์นี้อาจจะกลายเป็นการเตือน “คนร้าย” ให้รู้ตัวเมื่อถูกสอบสวน เฟซบุ๊กระบุว่ามีพนักงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีการแจ้งเตือน และพนักงานเหล่านั้นก็ยังถูกตรวจสอบอย่างหนัก การเข้าถึงข้อมูลต้องตรวจย้อนกลับไปถึงบั๊กหรือเหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษร เหตุผลเหล่านั้นจะถูกตรวจสอบโดยผู้จัดการภายหลัง อย่างไรก็ดี มีพนักงานจำนวนหนึ่งถูกไล่ออกจากการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่เหมาะสมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา   ————————————————————————————————————————————————— ที่มา : Blognone | lew       วันที่ 6 พ.ค.2561 ลิงก์ : https://www.blognone.com/node/102052

กองทัพสหรัฐสั่งแบนโทรศัพท์ Huawei และ ZTE

Loading

กองทัพสหรัฐห้ามคนในฐานทัพสหรัฐซื้อโทรศัพท์จาก 2 ยี่ห้อดังของจีนอย่าง Huewei และ ZTE เนื่องจากหวั่นเกรงเรื่องของความมั่นตงปลอดภัยว่าอาจจะมีการติดตามสมาชิกของกองทัพ Dave Eastburn โฆษกของกองเพนตากอนได้กล่าวว่า “อุปกรณ์จาก Huawei และ ZTE อาจจะมีความเสี่ยงที่กระทบในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับพลเรือนการทหาร ข้อมูลและภารกิจต่างๆ” อย่างไรก็ตามแม้ว่า Eastburn จะไม่ได้ให้ความเห็นในเชิงเทคนิคถึงคำสั่งที่เกิดขึ้น แต่ก็มีความคิดเห็นจาก The Wall Street Journal กล่าวว่าทางกองทัพคงจะกลัวเรื่องว่ารัฐบาลจีนอาจติดตามพวกทหารได้ผ่านทางมือถือ Huewei หรือ ZTE อีกด้านหนึี่งฝั่ง Huawei เองนาย Charles Zinkowski โฆษกของบริษัทก็ได้ยืนยันว่าอุปกรณ์ของตนนั้นมีมาตรฐานทั้งในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างสูงสุดในทุกประเทศที่มันถูกใช้งานไม่เว้นแม้แต่สหรัฐอเมริกา “เรายืนยันว่าเรามาอย่างเปิดเผยและโปร่งใสในทุกๆ เรื่องและอยากให้ชัดเจนว่ารัฐบาลไม่เคยขอแทรกแซงด้าน Security และ Integrity ในเครือข่ายหรืออุปกรณ์ใดๆ ของเราเลย“–Zinkowski กล่าว ขณะเดียวกันทาง ZTE ยังไม่มีการโต้ตอบกลับมา ——————————————————————– ที่มา : TECHTALK Thai / May 7, 2018 Link : https://www.techtalkthai.com/us-army-banned-huewei-and-zte-phone-because-of-security/

สนามบินญี่ปุ่นจะใช้เทคโนโลยี “สแกนใบหน้า” ในระบบตรวจคนเข้าเมือง

Loading

กระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นจะติดตั้งเทคโนโลยี “จดจำใบหน้า” ตามสนามบินต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2019 นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าออกประเทศญี่ปุ่นจะผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองโดยการสแกนใบหน้า ซึ่งเมื่อคอมพิวเตอร์เทียบข้อมูลกับภาพถ่ายที่เข้ารหัสไว้ในไมโครชิปที่ฝังไว้ในหนังสือเดินทางแล้ว ประตูอัตโนมัติก็จะเปิดออก ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียง 15 วินาทีเท่านั้น และภาพถ่ายใบหน้าที่สแกนไว้จะถูกลบทันทีเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้นเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล เทคโนโลยี “จดจำใบหน้า” จะถูกนำมาใช้ตามสนามบินหลักทั่วประเทศญี่ปุ่นในปี 2019 เพื่อลดเวลาต่อแถวในการตรวจคนเข้าเมือง และจะได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติภารกิจอื่น เช่น การป้องกันการก่อการร้าย ในช่วงก่อนที่กรุงโตเกียวจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2020 ปัจจุบันมีเครื่องสแกนใบหน้าติดตั้งอยู่ที่สนามบินฮาเนดะจำนวน 3 เครื่อง แต่จะเพิ่มเป็น 137 เครื่องในปีหน้า และยังจะติดตั้งในสนามบินนาริตะ, สนามบินชูบุ, สนามบินคันไซ และสนามบินฟุกุโอกะ เมื่อปี 2007 ญี่ปุ่นได้ใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือในการตรวจคนเข้าเมือง แต่กลับมีชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวใช้เพียงแค่ร้อยละ 7.9 เท่านั้น เนื่องจากต้องลงทะเบียนลายนิ้วมือก่อน แต่ระบบสแกนใบหน้านี้เป็นการเปรียบเทียบกับภาพในหนังสือเดินทาง ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใดๆ รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าจะให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเยือนญี่ปุ่น 40 ล้านคนในปี 2020 จึงจำเป็นใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมือง ธนาคารก็ใช้ “สแกนใบหน้า” แทนรหัสลับ เทคโนโลยี “จดจำใบหน้า” ยังกำลังถูกทดลองใช้โดยธนาคารต่างๆ ในญี่ปุ่นเพื่อยืนยันตัวตน โดยให้เจ้าของบัญชีใช้กล้องบนสมาร์ทโฟนถ่ายภาพตัวเอง…