ศาลบราซิลมีคำสั่งบล็อกการเข้าถึง WhatsApp ทั่วประเทศ เป็นเวลา 48 ชั่วโมง

Loading

ธันวาคม 17, 2015      จากการที่มีบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายหนึ่ง ได้ร้องเรียนว่า WhatsApp มีการให้บริการโทรด้วยเสียงฟรี ซึ่งผิดกฎหมายของประเทศบราซิล ที่ระบุว่ารัฐบาลจะต้องตรวจสอบการสนทนาผ่านเสียงได้ เรื่องนี้ทำให้ศาลบราซิลมีคำสั่งบล็อกการเข้าถึง WhatsApp ทั่วประเทศ เป็นเวลา 48 ชั่วโมง เริ่มต้นตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 17 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่น เนื่องจาก WhatsApp ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งลงวันที่ 23 กรกฏาคม 2015 และหลังจากที่ศาลทำการแจ้งเตือนอีกครั้งในวันที่ 7 สิงหาคม 2015 ว่าจะมีการลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม แต่บริษัทก็ยังคงเพิกเฉยต่อคำสั่ง ไม่รับคำตอบใดๆ ล่าสุด Mark Zuckerberg ซึ่งเป็นเจ้าของ WhatsApp กล่าวว่าเขารู้สึกเสียใจต่อคำตัดสินของศาล และจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนคำตัดสินนี้ให้ได้ และยังมีการแนะนำให้ผู้ใช้งานในบราซิลไปใช้งาน Facebook Messenger ในการติดต่อสื่อสารแทนไปก่อน      เรื่องนี้ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร WhatApp ถึงไม่ยอมตอบคำถามของศาลบราซิล และเหตุใดศาลจึงตัดสินให้บล็อกเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปค่ะ ที่มา…

ระทึก! เครื่องบิน Air France ลงจอดฉุกเฉินที่เคนยา

Loading

  Air France ไฟล์ท 463 ลงจอดฉุกเฉินที่เคนยาหลังพบวัตถุต้องสงสัยในห้องน้ำ จนท.เร่งตรวจสอบ      วันนี้ (20 ธ.ค.58) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าเครื่องบิน Air France โบอิ้ง 777 เที่ยวบิน 463 จากประเทศมอริเชียสไปยังสนามบินชาร์ล เดอ โกลในกรุงปารีสต้องลงจอดฉุกเฉินที่เคนยาหลังพบวัตถุต้องสงสัยในห้องน้ำ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งทำการตรวจสอบ      ผู้บริหารสายการบินแอร์ฟร้านซ์เผยวัตถุต้องสงสัยไม่มีอันตราย      นายเฟรเดริก กาเช หัวหน้าคณะผู้บริหารของสายการบินแอร์ฟร้านซ์ยืนยันว่า วัตถุต้องสงสัยที่พบบนเครื่องบิน จนทำให้ต้องลงจอดฉุกเฉินในเมืองมอมบาซา เคนยา ไม่มีอันตราย นายกาเชบอกผู้สื่อข่าวว่า วัตถุดังกล่าวไม่มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดการระเบิดหรือทำความเสียหายให้กับเครื่องบินได้ โดยข้างในวัตถุต้องสงสัยมีเศษกระดาษ กระดาษแข็งและนาฬิกาจับเวลา      ก่อนหน้านี้ กัปตันเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของสายการบินแอร์ฟร้านซ์ ได้ขอลงจอดฉุกเฉิน ขณะกำลังนำเครื่องบินไปยังกรุงปารีสจากประเทศมอริเชียส หลังจากมีผู้พบวัตถุต้องสงสัยในห้องน้ำบนเครื่องบิน ขณะนี้สนามบินมอมบาซาเปิดทำการตามปกติแล้ว และทางสายการบินได้จัดให้ผู้โดยสารเดินทางไปยังกรุงปารีสในเที่ยวบินอื่น ที่มา : TNN24 วันที่ 20 ธ.ค.…

“วงจรล่องหน” เทคโนโลยีใหม่ช่วยอำพรางเครื่องบินจากเรดาร์

Loading

การค้นพบครั้งนี้ยังมีความพิเศษคือ วัตถุที่สร้างวงจรล่องหน  มีความบางกว่าที่พัฒนาขึ้นโดยคู่แข่งในต่างประเทศ – เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์      เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ – คณะนักวิจัยของจีนค้นพบเทคโนโลยีสำคัญ ที่ช่วยให้เครื่องบินสามารถล่องหนหายตัวหนีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ที่ว่าเจ๋งที่สุด ซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบันไปได้เหมือนเล่นกลกันเลยทีเดียว      คณะนักวิจัยซึ่งทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหวาจงในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ทางภาคกลางของจีน และมีศาสตราจารย์ เจียง เจี้ยนจวิน แห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ของสถาบันอู่ฮั่นเป็นหัวหน้า ได้เผยแพร่รายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบและเทคนิกของ “วงจรล่องหน” ไว้ในวารสารฟิสิกส์ประยุกต์ ( Journal of Applied Physics) ของสถาบันฟิสิกส์แห่งอเมริกาฉบับเดือนพ.ย. พ.ศ. 2558      คณะนักวิจัยได้สร้างวงจรไฟฟ้า ซึ่งมีหลายชั้น วงจรนี้สามารถ “ดัก” คลื่นวิทยุไมโครเวฟที่ความถี่สูงมาก ซึ่งจะสร้างความสับสนแก่ระบบเรดาร์ กระทั่งเครื่องบินเล็ดลอดผ่านระบบตรวจจับนี้ไปได้ โดยการค้นคว้าอาศัยหลักการทำงานของเครื่องเรดาร์คือ มีการส่งคลื่นวิทยุจากเครื่องเรดาร์ เมื่อมีวัตถุ เช่น เครื่องบินมาขวางทาง คลื่นวิทยุก็จะสะท้อนจากเครื่องบินกลับคืนสู่เครื่องเรดาร์ ดังนั้น ถ้าวงจรไฟฟ้านี้ไปดูด หรือดักคลื่นวิทยุนี้เสียก่อน เครื่องเรดาร์ก็จะไม่ตรวจพบเครื่องบิน      นอกจากนั้น…

ไล่ออกเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสนามบินออสเตรเลีย กรณีจงใจเรียกตรวจ รมว.ต่างประเทศ

Loading

  เจ้าหน้าที่ด่านตรวจความปลอดภัยประจำท่าอากาศยานเมลเบิร์น ของออสเตรเลีย ถูกไล่ออกจากงาน จากกรณีที่นางจูลี่ บิชอป รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลียถูกเรียกตรวจค้นร่างกายอย่างจงใจ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่นางบิชอป เดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ในนครนิวยอร์ก โดยจากการสอบสวน ทางท่าอากาศยานระบุว่า การเรียกตรวจค้นร่างกายนางบิชอป เป็นการกระทำโดยจงใจไม่ใช่การสุ่มตรวจ กรณีดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับผู้ควบคุม ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้ตรวจค้นนางบิชอป ถูกไล่ออกจากงาน แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่หญิงระดับปฏิบัติ ซึ่งเป็นผู้ตรวจค้นร่างกายนางบิชอปโดยการใช้มือสัมผัส ถูกลงโทษเพียงสั่งพักงาน เพราะถือว่าไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานกระบวนการตรวจค้นที่ถูกต้อง แต่ขณะนี้ได้กลับเข้าทำงานตามเดิมแล้ว หลังจากผ่านการฝึกอบรมอีกครั้ง หนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ รายงานว่า มีเจ้าหน้าที่สนามบินอย่างน้อย 3 คนถูกสั่งพักงานจากกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งนางบิชอป ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า จะไม่ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แต่ผู้สื่อข่าวบีบีซี บอกว่า มีการเปิดเผยในภายหลังว่านายวอร์เรน ทรัสส์ รองนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เป็นผู้สั่งการให้ท่าอากาศยานสอบสวนเรื่องนี้ ที่มา : Facebook บีบีซีไทย – BBC Thai

เฟซบุ๊ก กูเกิลและทวิตเตอร์ตกลงกับรัฐบาลเยอรมันจัดการเฮทสปีช

Loading

เฟซบุ๊ก กูเกิลและทวิตเตอร์ทำข้อตกลงกับรัฐบาลเยอรมันที่จะลบข้อความที่แสดงหรือสร้างความเกลียดชัง หรือที่เรียกว่าเฮทสปีชออกจากเว็บไซต์ของตัวเองภายใน 24 ชั่วโมง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเยอรมันนี ไฮโก มาส กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะเป็นการรับประกันว่ากฎหมายของเยอรมันจะมีผลบังคับใช้ในโลกออนไลน์ และโซเชียลมีเดียจะต้องไม่ “กลายเป็นมหกรรมบันเทิงสำหรับฝ่ายขวาจัด” ข้อตกลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากมีรายงานถึงการเหยียดผิวที่พุ่งสูงขึ้นในโลกออนไลน์ในประเทศขณะที่เยอรมันกำลังจัดการรับมือกับการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยเกือบหนึ่งล้านคนในปี 2558 และการที่เยอรมันต้อนรับผู้อพยพหลายแสนคนที่ส่วนใหญ่มาจากซีเรีย อิรักและอัฟกานิสถานได้ก่อให้เกิดปฏิกริยาความไม่พอใจจากฝ่ายชาตินิยมที่รวมถึงนีโอนาซี มาสบอกว่า การร้องเรียนเกี่ยวกับเฮทสปีชจะได้รับการพิจารณาโดย “คณะผู้เชี่ยวชาญ” ของบริษัททั้งสามที่ยังจะทำให้การร้องเรียนทำได้สะดวกมากขึ้นอีกด้วย คณะผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาข้อร้องเรียนโดยใช้เกณฑ์มาตรฐานของกฎหมายเยอรมัน “และไม่ใช่แค่เงื่อนไขการใช้งานของผู้ให้บริการแต่ละเจ้าอีกต่อไป” มาสบอกว่า “เมื่อมีการละเมิดขอบเขตของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เมื่อเป็นการแสดงความเห็นในทางอาชญากรรม การปลุกปั่นก่อความไม่สงบ การยุยงให้กระทำความผิดที่ส่งผลคุกคามต่อผู้คน เนื้อหาเช่นว่านี้จะต้องถูกลบออกไปจากอินเตอร์เน็ต” และย้ำว่าเป็นข้อตกลงที่จะต้องดำเนินการภายในเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้มาสและนักวิจารณ์คนอื่นๆ ได้กล่าวหาเฟซบุ๊กว่าดำเนินการฉับไวในการลบภาพโป๊เปลือยออกจากหน้าเพจของผู้ใช้ แต่กลับปล่อยให้มีข้อความเหยียดผิวและเกลียดกลัวชาวต่างชาติอยู่ต่อไปได้ ขณะที่เฟซบุ๊กระบุว่าอาศัยผู้ใช้ในการรายงานหรือร้องเรียนเกี่ยวกับข้อความที่แสดงหรือสร้างความเกลียดชัง ที่มา : Facebook บีบีซีไทย – BBC Thai