สหรัฐฯ-เกาหลีใต้ ประกาศคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ โดยเฉพาะด้านไอที

Loading

    สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ประกาศคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือรอบใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) หลังได้รับรายงานว่า มีพนักงานด้านไอทีจำนวนหลายพันคนปฏิบัติงานอยู่ในประเทศจีนและรัสเซีย พร้อมทั้งอ้างว่า พนักงานเหล่านี้อาจมีส่วนพัวพันกับการช่วยจัดหาเงินทุน เพื่อนำมาส่งเสริมและพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) ในเกาหลีเหนือ   ทางการสหรัฐฯ ชี้ว่า ชาวเกาหลีเหนือที่ทำงานเป็นพนักงานด้านไอทีหลายพันคนกระจายตัวอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะที่จีนและรัสเซีย คนกลุ่มนี้มีส่วนนำรายได้ไปสนับสนุนโครงการขีปนาวุธและโครงการ WMD ของเกาหลีเหนือ ที่มิชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ โดยพนักงานส่วนใหญ่จะปกปิดอัตลักษณ์ของตนเอง ไม่ระบุสถานที่เกิด-สถานที่อยู่อาศัย รวมถึงสัญชาติที่แน่ชัด และใช้เอกสารปลอมในการยื่นสมัครงาน   ที่ผ่านมาทางการสหรัฐฯ เองก็เคยประกาศเตือนว่า การว่าจ้างพนักงานด้านไอทีชาวเกาหลีเหนืออาจนำไปสู่การขโมยทรัพย์สินทางปัญญาได้ด้วยเช่นกัน โดยนอกจากบริษัท Chinyong Information Technology Cooperation Company ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเกาหลีเหนือ และติดอยู่ในลิสต์รายชื่อบริษัทด้านไอทีที่ถูกคว่ำบาตรในครั้งนี้แล้ว ศูนย์วิจัยหมายเลข 110, Pyongyang University of Automation และหน่วยงานของรัฐอย่าง Technical Reconnaissance Bureau ก็เป็นอีก 3 หน่วยงานด้านไอทีที่เคยถูกเกาหลีใต้ประกาศแบนมาแล้วก่อนหน้านี้   โดย ไบรอัน เนลสัน ผู้แทนสหรัฐฯ…

หน่วยข่าวกรองเยอรมนีปวดหัว สายลับรุ่นใหม่ขอ Work From Home

Loading

    หน่วยข่าวกรองเยอรมนีกำลังประสบปัญหาขาดสายลับ หลังสายลับรุ่นใหม่ ๆ ยื่นเงื่อนไขในการทำงานว่า “ต้องสามารถ Work From Home ได้”   สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมหลายอย่างของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะเรื่องของการทำงานที่หลายคนมีความคุ้นชินกับการทำงานที่บ้าน (Work From Home) หรือการทำงานทางไกล (Remote) มากขึ้น   อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกสายอาชีพที่จะสามารถทำงาน Work From Home ได้ เพราะงานบางอย่างก็ต้องเข้าไปทำในสถานที่ทำงานของตัวเอง หรือบ้างก็ต้องทำงานแบบลงพื้นที่     หนึ่งในนั้นคืออาชีพ “สายลับ” ของหน่วยข่าวกรองประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะต้องคอยแฝงตัว แทรกซึม สืบหาข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติของตัวเอง และปกป้องความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามต่าง ๆ   แต่ที่ประเทศเยอรมนี หน่วยข่าวกรองเยอรมันกำลังประสบปัญหาการรับสมัครสายลับหน้าใหม่ เพราะด้วยวัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้สายลับรุ่นใหม่ยื่นเงื่อนไขในการทำงานว่า “ต้องสามารถ Work From Home ได้”  …

บุกมายั่วถึงที่! เครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐฯ 2 ลำโผล่ทะเลบอลติก รัสเซียรุดส่งซู-27 เข้าสกัด

Loading

    รัสเซียเปิดเผยในวันอังคาร (23 พ.ค.) ต้องรุดส่งเครื่องบินขับไล่ซู-27 ขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อป้องกันเหตุล่วงละเมิดเขตแดนแห่งรัฐ ของเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศอเมริกา 2 ลำ ที่กำลังบินเหนือทะเลบอลติก   “หลังจากผลักดันอากาศยานทหารต่างชาติออกไปจากชายแดนแห่งรัฐของรัสเซีย เครื่องบินขับไล่ของรัสเซียได้กลับคืนสู่ฐานทัพอากาศของมัน” กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุ   ถ้อยแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซียบอกต่อว่า กองทัพได้ป้องกันการล่วงละเมิดเขตแดน พร้อมระบุเที่ยวบินของเครื่องบินขับไล่รัสเซีย ได้ดำเนินการในแนวทางที่ยึดมั่นตามกรอบของกฎระเบียบระหว่างประเทศสำหรับการใช้น่านฟ้า”   โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ยอมรับว่าอากาศยานอเมริกาถูกสกัดโดยรัสเซีย และบอกว่าเครื่องบินดังกล่าวได้แก่ เครื่องบินทิ้งระเบิด B-1 ที่กำลังเข้าซ้อมการฝึกฝนในยุโรป ซึ่งวางแผนไว้นานแล้ว   เหตุการณ์นี้นับเป็นกรณีล่าสุดของเหตุการณ์คล้าย ๆ กันที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะหลัง โดยก่อนหน้านี้แค่ราว 1 สัปดาห์ รัสเซียเผยว่าต้องดำเนินการเข้าสกัดอากาศยาน 2 ลำ จากเยอรมนี 1 ลำ และอีกลำเป็นของฝรั่งเศส ที่กำลังพยายามละเมิดน่านฟ้าของพวกเขา   ในช่วงกลางเดือนเมษายน รัสเซียต้องส่งเครื่องบินขับไล่ลำหนึ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เข้าประกบอากาศยานของกองทัพเรือเยอรมนีลำหนึ่ง ที่กำลังบินอยู่เหนือทะเลบอลติก   ก่อนหน้านั้นในเดือนมีนาคม โดรนลำหนึ่งร่วงตกทะเล หลังถูกเครื่องบินรบของรัสเซียเฉี่ยวชนเหนือทะเลดำ  …

แรงมาแรงกลับ! ติ๊กต็อกยื่นฟ้อง ‘รัฐมอนทานา’ ค้านกม.แบนใช้แอป

Loading

    สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ติ๊กต็อก แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอชื่อดังของบริษัทไบต์แดนซ์ ของจีน ได้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐเพื่อคัดค้านการที่รัฐมอนทานาผ่านร่างกฎหมายแบนไม่ให้ประชาชนของรัฐสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันติ๊กต็อก   การยื่นฟ้องดังกล่าวมีขึ้นหลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมอนทานากลายเป็นรัฐแรกของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศผ่านร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อก ท่ามกลางกระแสการเรียกร้องจากสมาชิกสภานิติบัญญัติและเจ้าหน้าที่รัฐให้มีการแบนแอปพลิเคชันติ๊กต็อกทั่วประเทศสหรัฐจากข้อกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของรัฐบาลจีนที่มีต่อติ๊กต็อก   ส่งผลให้ติ๊กต็อกยื่นฟ้องร้องต่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐในรัฐมอนทานา โดยระบุว่าการแบนดังกล่าวซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 มกราคม ปี 2024 ได้ละเมิดบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 (First Amendment) ถึงสิทธิเสรีภาพในการพูด และเรียกร้องให้ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐประกาศให้การแบนแอปพลิเคชันติ๊กต็อกของรัฐมอนทานานั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญและสกัดกั้นไม่ให้รัฐมอนทานามีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว   โฆษกของติ๊กต็อกกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอคัดค้านการแบนติ๊กต็อกของรัฐมอนทานาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพื่อปกป้องธุรกิจและผู้ใช้งานติ๊กต็อกหลายแสนคนในรัฐมอนทานา” พร้อมกับระบุอีกว่าเราเชื่อว่าจะได้รับชัยชนะในการยื่นคัดค้านทางกฎหมายจากคำพิพากษาในอดีตและข้อเท็จจริงจำนวนมาก และรัฐมอนทานาได้ออกมาตรการพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อนจากการคาดการณ์ที่ไม่มีมูล พร้อมกับยืนยันในการยื่นฟ้องว่าติ๊กต็อกไม่เคยและจะไม่ส่งข้อมูลของผู้ใช้งานในสหรัฐให้กับรัฐบาลจีน   นายเกร็ก เกียนฟอร์เต ผู้ว่าการรัฐมอนทานาเผยว่าเขาลงนามรับรองกฎหมายการแบนดังกล่าวเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของประชาชนในรัฐจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน   ภายใต้กฎหมายการแบนแอปติ๊กต็อกของรัฐมอนทานา แอปเปิลและกูเกิลจะต้องนำแอปติ๊กต็อกออกจากแอปสโตร์ (App store) มิเช่นนั้นจะถูกปรับเป็นเงินสูงถึง 1 หมื่นดอลลาร์ หรือกว่า 3.4 แสนบาทต่อวัน อย่างไรก็ตาม จะไม่มีบทลงโทษต่อผู้ใช้งานติ๊กต็อกและจะไม่มีการห้ามไม่ให้ผู้ที่ใช้งานติ๊กต็อกอยู่ก่อนหน้าเลิกใช้งานแอปดังกล่าว   ด้านทนายความของทางการรัฐมอนทานากล่าวว่า พวกเขาเตรียมที่จะปกป้องการแบนดังกล่าวในชั้นศาล  …

สหรัฐฯ-ปาปัวนิวกินี ลงนามความร่วมมือกลาโหม หวังคานอำนาจจีนในแถบอินโด-แปซิฟิก

Loading

    วานนี้ (22 พฤษภาคม) แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าพบ เจมส์ มาเรบ นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี ก่อนที่ผู้แทนระดับสูงของทั้งสองประเทศจะร่วมลงนามในความร่วมมือด้านกลาโหม โดยสหรัฐฯ หวังคานอำนาจกับจีนในพื้นที่แถบอินโด-แปซิฟิก   โดยสหรัฐฯ จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนกิจการด้านความมั่นคงของปาปัวนิวกินี โดยเฉพาะการฝึกเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกองทัพของปาปัวนิวกินี พร้อมท้ังจะขยายความร่วมมือไปยังมิติอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจ การรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมถึงการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม   ก่อนที่ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย และบลิงเคน จะเดินทางเข้าหารือกับบรรดาผู้นำประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกจำนวน 14 คน ที่กรุงพอร์ตมอร์สบี เมืองหลวงของปาปัวนิวกินี นับเป็นงานการประชุมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศแห่งนี้ ตั้งแต่การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อปี 2018   โดยโมดีได้แสดงจุดยืนว่า “เราต่างเชื่อมั่นในความร่วมมือพหุภาคี เราสนับสนุนอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และโอบรับความหลากหลาย เราเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทุก ๆ ประเทศ”   แม้ทางการจีนจะไม่ได้มีข้อขัดข้องกับความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และปาปัวนิวกินี แต่ก็แสดงความกังวลใจไม่น้อยถึงกรณีการเพิ่มจำนวนกองกำลังสหรัฐฯ เข้ามายังภูมิภาคดังกล่าวนี้ ซึ่งอาจทำให้เกิดเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่ดุเดือดยิ่งขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ ภายในภูมิภาค…

ตร.รวบคนขับ เจตนาขับรถบรรทุกพุ่งชนรั้วกั้น ใกล้ทำเนียบขาว ธงนาซีโผล่ (คลิป)

Loading

    วันที่ 23 พ.ค.รอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับสหรัฐกำลังสอบสวนเหตุรถบรรทุกพุ่งชนแผงกั้นความปลอดภัยบริเวณตรงข้ามทำเนียบขาว หลังปรากฏภาพชายคนขับถูกจับกุม เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ค.ตามเวลาท้องถิ่น     หน่วยสืบราชการลับระบุว่า ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต่อมาเสริมว่ารถอยู่ในสภาพปลอดภัยและผลการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า เหตุรถชนดังกล่าวเกิดจากคนขับเจตนา อีกทั้งภายในรถพบธงสวัสติกะของระบอบนาซี เจ้าหน้าที่สั่งปิดถนนสายท้องถิ่น ทางเท้าและสวนสาธารณะ รวมถึงสั่งโรงแรมใกล้เคียงอพยพคน ตำรวจสวนสาธารณะหรือยูเอส ปาร์ก โปลิสจะยื่นฟ้องพร้อมขอความสนับสนุนในการสอบสวนจากหน่วยสืบราชการลับ     พยานระบุว่า คนขับชนแผงกั้นครั้งที่ 2 หลังจากการชนครั้งแรกเกิดขึ้นก่อนเวลา 22.00 น. เพียงเล็กน้อย นายคริสต์ ซาโบจิ อายุ 25 ปี พยานระบุว่า เหตุเกิดขึ้นหลังจากที่ตนเพิ่งวิ่งเสร็จและกำลังเดินทางกลับบ้านได้ยินเสียงชนดังสนั่น ตนถ่ายคลิปวิดีโอแสดงนาทีรถบรรทุกพุ่งชนแผงกั้นทั้งสองครั้ง และตนไม่ต้องการอยู่ใกล้รถบรรทุก จึงออกมาจากที่เกิดเหตุ ต่อมาทีมสอบสวนระบุว่า สิ่งของที่อยู่ในรถบรรทุกซึ่งส่วนใหญ่ว่างเปล่านั้นไม่เป็นอันตราย   ขณะเดียวกันยังไม่ชัดเจนว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอยู่ที่ทำเนียบขาวหรือไม่ในช่วงเกิดเหตุ โดยนายไบเดนพบปะหารือกับนายเควิน แม็กคาร์ที ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ที่ทำเนียบขาวก่อนหน้านี้ ในช่วงค่ำวันเดียวกัน  …