ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพอังกฤษเรียกร้องชาติตะวันตกตอบโต้การโจมตีจากโดรนอิหร่าน

Loading

  ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอังกฤษ พลเอกนิค คาร์เตอร์ กล่าวในวันพุธว่า ชาติตะวันตกจำเป็นต้องร่วมมือกันตอบโต้ต่อการโจมตีที่เชื่อว่ามาจากโดรนของอิหร่าน ต่อเรือขนส่งน้ำมันลำหนึ่งเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ทำให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวอังกฤษเสียชีวิตหนึ่งคน และกัปตันเรือชาวโรมาเนียเสียชีวิตอีกหนึ่งคน พลเอกคาร์เตอร์ กล่าวกับสำนักข่าวบีบีซีในวันพุธว่า หากระบอบแห่งการป้องปรามยังไม่กลับคืนมายังอ่าวเปอร์เซีย ก็มีโอกาสและความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดการโจมตีและการคำนวณที่ผิดพลาดจากทางอิหร่าน และสิ่งที่จำเป็นต้องทำในตอนนี้คือการทำให้อิหร่านหยุดพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงนี้ คำกล่าวของพลเอกคาร์เตอร์มีขึ้นหลังจากที่มีเหตุการณ์คนร้ายบุกขึ้นเรือขนส่งน้ำมันอีกลำหนึ่งนอกชายฝั่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในวันอังคาร ก่อนที่จะลงจากเรือไปในเวลา 24 ชม.ต่อมา จากการเปิดเผยของกองทัพเรืออังกฤษ ก่อนหน้านี้ อิหร่านออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีด้วยโดรนใส่เรือบรรทุกน้ำมัน MV Mercer Street นอกชายฝั่งโอมาน โดยเรือลำนี้เป็นของญี่ปุ่นแต่บริหารจัดการโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ Zodiac Maritime ซึ่งมีมหาเศรษฐีชาวอิสราเอล อียาล โอเฟอร์ เป็นเจ้าของ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ทวีตว่า มีความน่าสงสัยหลายประการในรายงานเหตุการณ์โจมตีที่เกิดขึ้นกับเรือหลายลำในอ่าวเปอร์เซียและทะเลโอมาน พร้อมเตือนว่าอิหร่านพร้อมตอบโต้ต่อการกระทำใด ๆ ที่สร้างบรรยากาศแห่งความเป็นอริศัตรูเพื่อเป้าหมายบางอย่างทางการเมือง ด้านรัฐบาลอังกฤษเตรียมยื่นประท้วงเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้อย่างเป็นทางการต่อคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติในวันศุกร์นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ โดมินิก ร้าบ กล่าวประณามเหตุการณ์นี้ว่า “ผิดกฎหมายและไร้สำนึก” โดยเชื่อว่าเป็นการโจมตีจากอิหร่านซึ่งมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องให้อิหร่านยุติการกระทำลักษณะนี้ทันที เพื่อให้เรือขนส่งต่าง ๆ สามารถเดินทางไปอย่างปลอดภัยและเป็นอิสระภายใต้กฎหมายสากล ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า…

รีพับลิกันสหรัฐฯ พบหลักฐานเด็ดชี้ “ต้นตอไวรัสโควิด-19” แอบหลุดจากห้องแล็บอู่ฮั่น ตั้งข้อสงสัย “จีน” สั่งออฟไลน์ฐานข้อมูลกลางดึก

Loading

  เอเจนซีส์/รอยเตอร์ – คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ พรรครีพับลิกัน เปิดเผยรายงานการสืบหาต้นตอไวรัสโควิด-19 เมื่อวันจันทร์ (2 ส.ค.) โดยชี้ไปที่หลักฐานซึ่งพิสูจน์ว่าเป็นการหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจจากสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ปี 2019 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ฐานข้อมูลไวรัสถูกดึงออกจากระบบอย่างกะทันหันในช่วงกลางดึกของวันนั้น หนังสือพิมพ์วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์รายงานวันนี้ (2 ส.ค.) ว่า คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ พรรครีพับลิกัน ซึ่งกำลังสืบสวนหาต้นตอไวรัสโควิด-19 ได้สรุปลงในรายงานของพวกเขาว่า มีหลักฐานจำนวนมากชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ไวรัส SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 นั้น บังเอิญหลุดออกมาจากห้องแล็บของสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2019 และไวรัสโควิด-19 เป็นการตัดต่อทางพันธุกรรม ซึ่งคาดว่าไวรัสตัวตั้งต้นถูกเก็บมาจากถ้ำในมณฑลยูนนานของจีนระหว่างปี 2012-2015 รายงานระบุว่า มีนักวิจัยในแล็บอู่ฮั่น เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และชาวอเมริกัน เกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามขัดขวางหรือปิดบังข้อมูลที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส รวมไปถึงการปิดกั้นฐานข้อมูลที่เป็นหลักฐานว่าอาจจะมีไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บ ไมเคิล แม็คคอล (Michael McCaul) ส.ส.รัฐเทกซัส พรรครีพับลิกัน ผู้นำทีมสอบสวน ระบุว่า ปักกิ่งพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับแล็บอู่ฮั่น ในรายงานชี้ให้เห็นว่า คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ สภาล่างสหรัฐฯ ให้ความความสนใจเป็นพิเศษกับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น หลักฐานชี้ว่าสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นเป็นแหล่งที่มาของการระบาด…

ปักกิ่งส่อโดนรุม! เยอรมนีส่งเรือรบล่องสู่ทะเลจีนใต้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษ

Loading

เรือรบฟริเกตของเยอรมนีลำหนึ่งเตรียมล่องเข้าสู่ทะเลจีนใต้เป็นครั้งแรกในรอบราวๆ 2 ทศวรรษ ส่วนหนึ่งของภารกิจยาวนาน 6 เดือน ตามคำมั่นสัญญาของเบอร์ลินที่มีต่อพันธมิตรและต่อเสรีภาพแห่งการเดินเรือ บาเยิร์น (บาวาเรีย) หนึ่งในเรือฟริเกตชั้นบรันเดินบวร์ค จากทั้งหมด 4 ลำของเยอรมนี เดินทางออกจากฐานทัพเรือวิลเฮมส์ฮาเฟิน เมื่อวันจันทร์ (2 ส.ค.) ในพิธีที่มี อันเนเกรต ครัมป์-คาร์เรนบาวเออร์ รัฐมนตรีกลาโหมเข้าร่วมด้วย ข้อมูลจากกองทัพเรือเยอรมนีระบุว่า เรือรบลำนี้บรรทุกตอร์ปิโดต่อต้านเรือดำน้ำ 46 ลูก ติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือและอาวุธต่อต้านอากาศยาน มันจะใช้เวลาอยู่กลางทะเลเป็นเวลา 6 เดือน ระหว่างนั้นคาดหมายว่าจะล่องเฉียดใกล้จะงอยแอฟริกา ออสเตรเลียและญี่ปุ่น รวมถึงล่องผ่านทะเลจีนใต้ ภูมิภาคที่ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งพุ่งสูง “ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร เยอรมนีต้องการปรากฏตัวมากขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” ถ้อยแถลงของกองทัพเรือระบุ น่านน้ำต่างๆ ในทะเลจีนใต้เป็นจุดเดือดมาช้านานเกี่ยวกับข้อพิพาททางทะเลในภูมิภาค ปักกิ่งยืนกรานว่ามีสิทธิทางประวัติศาสตร์เหนือน่านน้ำดังกล่าว แต่คำกล่าวอ้างว่าพวกเขามีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลแห่งนี้ถูกปฏิเสธโดยศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในเมืองเฮก ที่ตัดสินเข้าข้างฟิลิปปินส์ กองทัพสหรัฐฯได้ปรากฏตัวในภูมิภาคที่อุดมไปด้วยทรัพยากรแห่งนี้ภายใต้คำกล่าวอ้างที่ว่า เพื่อธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพและปกป้องเสรีภาพของการเดินเรือ และเมื่อเร็วๆ นี้วอชิงตันพูดเป็นนัยว่าพวกเขายืนหยัดอยู่เคียงข้างเหตุผลของพันธมิตรในทะเลจีนใต้ โดย แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เน้นย้ำว่าประเทศของเขาจะอยู่ข้างประเทศอื่นๆ ที่กำลังถูกจีนข่มขู่บีบบังคับ ถ้อยแถลงของกองทัพเรือเยอรมนีไม่ได้พาดพิงจีนหรือเอ่ยชื่อทะเลจีนใต้โดยตรง แต่พวกเขาระบุว่า พื้นที่อินโด-แปซิฟิก คือภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มากที่สุดบนโลกใบนี้…

กลุ่มทุนจีน‘ซื้อที่ดินทั่วโลก’แผนสร้างแหล่งทรัพยากร

Loading

กลุ่มทุนจีน‘ซื้อที่ดินทั่วโลก’แผนสร้างแหล่งทรัพยากร ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าการรุกคืบซื้อที่ดินด้านการเกษตรของกลุ่มทุนจีนจะบั่นทอนความมั่นคงของประเทศ บทวิเคราะห์ในเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย ที่กล่าวถึงกระแสการกว้านซื้อที่ดินของบริษัทจีนในภูมิภาคเอเชียระบุว่า กลยุทธของรัฐบาลจีนในการแผ่อิทธิพลเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การขยายสิ่งปลูกสร้างในทะเลจีนใต้จนจุดชนวนให้เกิดการต่อต้านจากหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการส่งออกโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจังเท่านั้น แต่จีนดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกด้วยการกว้านซื้อที่ดินในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องด้วย ขณะนี้บริษัทจีนจำนวนมากกำลังกว้านซื้อที่ดินทั้งในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา โดยพื้นที่โดยรวมของที่ดินที่บริษัทจีนทั้งซื้อและเช่าในช่วง 10ปีที่ผ่านมามีจำนวนเท่ากับพื้นที่ทางบกของประเทศศรีลังกา หรือลิธัวเนียทั้งประเทศและมากกว่าการถือครองที่ดินของบริษัทสหรัฐและบริษัทสัญชาติอื่นๆ การเคลื่อนไหวดังกล่าวของบริษัทจีน ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆว่าที่ดินในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งถือเป็นแหล่งอาหารและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์จะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของจีน ทั้งยังทำให้เกิดความกังวลว่าการรุกคืบเข้ามาซื้อที่ดินด้านการเกษตรของกลุ่มทุนจีนจะบั่นทอนความมั่นคงของประเทศในท้ายที่สุด ญี่ปุ่นและประเทศยักษ์ใหญ่อื่นๆไม่สามารถมองข้ามการกว้านซื้อที่ดินในต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจจีนที่เกิดขึ้นได้ โดยศาสตราจารย์ฮิเดกิ ฮิราโนะ จากมหาวิทยาลัยฮิเมจิ ซึ่งศึกษาเรื่องการเข้าซื้อที่ดินของนักลงทุนต่างชาติ มีความเห็นว่า “ควรมีการออกกฏหมายที่เข้มงวดมากกว่านี้เพื่อป้องกันการกว้านซื้อที่ดินของกลุ่มทุนจีน” รายงานวิเคราะห์ได้ยกตัวอย่าง การกว้านซื้อที่ดินในรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือของเมียนมาโดยกลุ่มทุนจีนเพื่อปลูกกล้วย และเมื่อถึงปี 2558 พื้นที่ปลูกกล้วยนี้ก็ขยายออกไปจนถึงปัจจุบันทำให้ทิวทัศน์ในแถบนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผลสำรวจของหน่วยงานเอกชนและองค์กรต่างๆ บ่งชี้ว่าบริษัทจีนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการปลกูกล้วยในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่ข้อมูลจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น)ระบุว่า การส่งออกกล้วยจากเมียนมาเพิ่มขึ้น 250 เท่าตัว จากมูลค่า1.5 ล้านดอลลาร์ในปี 2556 เป็น 370 ล้านดอลลาร์ในปี 2563 และส่วนใหญ่ส่งออกไปจีน ชาวบ้านในรัฐคะฉิ่นบอกว่า ยังคงมีการปลูกกล้วยของกลุ่มทุนจีนในรัฐคะฉิ่นนับตั้บแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เพราะภาษีจากกล้วยเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงทหารในกองทัพเมียนมา แต่บริษัทจีนไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนภูมิทัศน์เฉพาะในเมียนมาเท่านั้น ในจังหวัดบิญเฟื๊อก ทางภาคใต้ของเวียดนามซึ่งเป็นแหล่งผลิตยางพาราและมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยางในประเทศก็กำลังถูกคุกคามในลักษณะคล้ายๆกัน โดยผู้กระทำคือบริษัทนิวโฮป หลิวเหอ บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านปศุสัตว์ชั้นนำของจีน และได้กว้านซื้อที่ดินในจังหวัดนี้ของเวียดนาม…

‘เฮติ’ จับเป็น-จับตาย ผู้ต้องสงสัยลอบสังหารประธานาธิบดี

Loading

ประเทศเฮติเข้าสู่ภาวะโกลาหลในวันพฤหัสบดี หนึ่งวันหลังจากเกิดเหตุลอบสังหารประธานาธิบดีโจเวเนล โมอิส ซึ่งนำไปสู่การไล่ล่าจับกุมคนร้ายหลายคน ซึ่งมีทั้งที่ถูกจับกุมและถูกตำรวจยิงสังหาร สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ตำรวจเฮติได้จับกุมชายสองคนซึ่งเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารครั้งนี้ และคาดว่าเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเฮติ โดยหนึ่งในนั้นเป็นอดีตบอดี้การ์ดที่สถานทูตแคนาดาในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฮติ แมทธีอัส ปิแอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเลือกตั้งของเฮติ กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า นายเจมส์ โซเลจส์ คือหนึ่งในผู้ต้องสงสัย 6 คนที่ถูกจับกุมในช่วง 36 ชั่วโมงที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดเหตุลอบสังหารประธานาธิบดีโมอิสที่บ้านพักประธานาธิบดี เมื่อช่วงเช้ามืดวันพุธ ในเว็บไซต์เพื่อการกุศลที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนที่รัฐฟลอริดา นายโซเลจส์ เรียกตัวเองว่า “เจ้าหน้าที่ด้านการทูตผู้ผ่านการรับรอง” และยังเป็นที่ปรึกษาสำหรับเด็กและเป็นนักการเมือง และยังระบุว่าตนเคยทำงานเป็นบอดี้การ์ดที่สถานทูตแคนาดาประจำเฮติด้วย ลีออน ชาลส์ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติของเฮติ กล่าวว่า คนร้ายผู้ลอบสังหารประธานาธิบดีโมอิส คือทหารรับจ้าง และยืนยันว่าผู้ต้องสงสัย 4 รายได้ถูกยิงสังหารระหว่างการต่อสู้กับตำรวจ และอีก 2 รายถูกจับกุม โดยมีตำรวจสามนายที่ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระหลังจากถูกคนร้ายจับไว้เป็นตัวประกัน ซึ่งทางตำรวจจะติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรีเฮติ คล้อด โจเซฟ ประกาศประกาศสถานการณ์ที่ต้องเข้าควบคุมพื้นที่ หรือ State of Siege ตั้งแต่เช้าวันพุธตามเวลาท้องถิ่นเป็นต้นไป เพื่อนำกฎอัยการศึกมาใช้ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายในประเทศ…

ปฏิบัติการแอปลับ ‘ANOM’ อาชญากรติดกับโดนจับทั่วโลก

Loading

  FBI กับตำรวจออสเตรเลีย ร่วมมือผุดปฏิบัติการแอปแชตลับ ANOM อาชญากรในหลายสิบประเทศหลงกลใช้งาน สุดท้ายโดยจับทั่วโลกเกือบพันคน   ปฏิบัติการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เจ้าหน้าที่พยายามแพร่กระจายแอปเข้าสู่เครือข่ายใต้ดิน จนอาชญากรเริ่มใช้งานอย่างแพร่หลายใน 100 ประเทศทั่วโลก   เจ้าหน้าที่ยังได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากอาชญากรตัวเป้ง ซึ่งหลงกลตำรวจและนำแอปไปแนะนำต่อ จนมันกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น   เมื่อวันอังคารที่ 8 มิ.ย. 2564 หน่วยงานตำรวจในหลายประเทศทั่วโลก ประกาศข่าวการจับกุมตัวอาชญากรจำนวนกว่า 800 คน ซึ่งถูกหลอกให้ใช้แอปพลิเคชันส่งข้อความเข้ารหัสที่ชื่อว่า ‘ANOM’ (อานอม) ซึ่งดูเหมือนจะปลอดภัย แต่แท้จริงแล้ว แอปนี้กลับถูกบริหารจัดการโดย FBI ของสหรัฐฯ   ปฏิบัติการที่ว่านี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FBI กับตำรวจออสเตรเลีย โดยแพร่กระจายแอป ANOM ไปในหมู่แก๊งอาชญากรรมอย่างลับๆ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถดักฟังข้อมูลต่างๆ ได้มากมายไม่ว่าจะเป็นแผนลักลอบขนยาเสพติด, การฟอกเงิน หรือแม้แต่แผนฆาตกรรม   นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้รับความช่วยเหลือโดยไม่ตั้งใจจากอาชญากรตัวเอ้ ซึ่งหลบหนีการจับกุมมานานกว่า 10 ปี แต่กลับหลงกลตำรวจและนำแอปไปแนะนำต่อ จนนำไปสู่ความสำเร็จของปฏิบัติการที่เอฟบีไอระบุว่า…