ปลอมตัวได้สมจริงอย่าง Mission Impossible ด้วยหน้ากากซิลิโคนที่ใครก็แยกไม่ออก

Loading

By  Sila Wongchareon นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยอร์กในอังกฤษและมหาวิทยาลัยเกียวโตในญี่ปุ่น ได้สร้างหน้ากากซิลิโคนที่เลียนแบบทุกอย่างตั้งแต่ตีนกา กระ และผมเพื่อหลอกใคร ๆ ให้คิดว่านี่คือหน้าคนจริง ๆ ดังนั้นเมื่อคุณสวมหน้ากากใบนี้แล้วปลอมตัวเดินไปยังที่ต่าง ๆ เชื่อหรือไม่ว่าไม่มีใครสามารถจับผิดได้เลย อารมณ์เหมือนการปลอมตัวในภารกิจลับจากภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible การศึกษาที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ: หลักการและการสืบสวน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นักวิจัยได้นำภาพถ่ายคู่หนึ่งออกมาแสดงแก่ผู้เข้าร่วมงานจากอังกฤษและญี่ปุ่น ซึ่งภาพคนหนึ่งเป็นคนปกติและอีกคนหนึ่งได้ปลอมตัวโดยการสวมหน้ากากซิลิโคน จากนั้นนักวิจัยได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วมงานทายดูว่าคนใดที่ใส่หน้ากากปลอมตัว แต่ปรากฏว่ามีคนทายผิด 20% จากจำนวนครั้งที่มีการเลือก การศึกษาในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานมีความได้เปรียบมากกว่าคนที่ใช้ชีวิตประจำวันบนท้องถนนทั่วไป เพราะพวกเขาได้ดูตัวอย่างของหน้ากากก่อนที่จะเริ่มการทดสอบโดยให้ทายว่าในภาพแต่ละคู่ ภาพใดคือหน้ากาก? แต่พวกเขาก็ยังทายผิด ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่าเมื่อมีการนำหน้ากากใช้ปลอมตัวในโลกแห่งความเป็นจริงก็จะมีอัตราความผิดพลาดสูงขึ้น สรุปง่าย ๆ ว่าคนทั่วไปแทบจะไม่รู้ว่าเป็นหน้ากาก ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีคนสวมหน้าปลอมตัวเป็นรัฐมนตรีของฝรั่งเศสก่ออาชญากรรมมาแล้ว ต่อไปคุณจะได้เห็นกรณีการก่ออาชญากรรมแบบนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะหน้ากากเหล่านี้ราคาแค่ชิ้นละ 39,121.68 บาท (1,000 ปอนด์) และเมื่อมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายยอดผลิตมากขึ้นราคาก็จะถูกลง แล้วคุณล่ะคิดหรือยังถ้ามีโอกาสจะปลอมตัวไปทำอะไรดี ————————————————— ที่มา : Beartai / 21 พฤศจิกายน 2562 Link : https://www.beartai.com/news/sci-news/380907

จำคุก 1 ปีหญิงออสเตรเลีย โกหก’resume’เพื่อให้ได้งานดีๆ

Loading

ซีเอ็นเอ็น – ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งให้ข้อมูลเท็จใน Resume (เอกสารสรุปข้อมูลส่วนตัว และประวัติการทำงานของผู้สมัครงานเพื่อใช้ประกอบการสมัครงาน) เพื่อให้ได้งานที่มีค่าตอบแทนระดับสูงในรัฐบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่งของออสเตรเลีย ถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี เวโรนิกา ฮิลดา เทริโอ ถูกพิพากษาเมื่อวันอังคาร (3 ธ.ค.) ว่ามีความผิดฐานหลอกลวง, ไม่ซื่อสัตย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในคดีที่เธอยื่นใบสมัครในตำแหน่งหัวหน้ากองสารสนเทศของรัฐบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเงินเดือนปีละ 270,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 5.5 ล้านบาท) ทรูโด ทำงานในตำแหน่งดังกล่าว สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย เป็นเวลากว่า 1 เดือนและรับเงินราวๆ 33,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 6.8แสนบาท) ก่อนถูกไล่ออก ทั้งนี้เธอยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหาและต้องชดใช้โทษด้วยการถูกจำคุกเป็นเวลา 25 เดือน โดยจะไม่มีสิทธิ์ได้รับทัณฑ์บนเป็นเวลา 1 ปี ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้รับฟังว่าเธอยื่นเรซูเมฉบับปั่นแต่งไปยังกระทรวง โดยให้ข้อมูลปลอมๆเกี่ยวกับการศึกษาและประวัติการทำงานที่ผ่านมา และหลังจากถูกเรียกไปสัมภาษณ์แล้ว เธอยังแอบอ้างเป็นอดีตนายจ้างของตนเองระหว่างถูกตรวจสอบประวัติการทำงานจากบุคคลอ้างอิงอีกด้วย (reference check) ซึงเธอให้การรับรองผลงานของตนเองว่า “ยอดเยี่ยม” อย่างไรก็ตามการโกหกไม่จบแค่นั้น ศาลยังได้รับฟังอีกว่า เทริโอ…

สถานทูตไทยในฝรั่งเศสเตือนคนไทยติดตามข่าว-เลี่ยงที่ชุมนุม หลังประท้วง-นัดหยุดงานทั่วประเทศ

Loading

เฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทุตไทยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่่อวันที่ 5 ธันวาคม 2562 นอกจากการหยุดและลดให้บริการของระบบขนส่งมวลชนแล้ว คาดว่าจะมีการเดินประท้วงของสหภาพแรงงานรวมกว่า 200 กลุ่มตามเมืองต่าง ๆ ในฝรั่งเศส (ในกรุงปารีส คือ เส้นทางระหว่างสถานี Gare du Nord – Place de la République – Place de la Nation) โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากกระจายกำลังเพื่อควบคุมสถานการณ์ฃ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีสจึงขอแนะนำให้คนไทยในฝรั่งเศสติดตามข่าวสารและหลีกเลี่ยงบริเวณที่จะมีการชุมนุม รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของทางการฝรั่งเศสอย่างเคร่งครัด หากต้องการความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อหมายเลข +33 6 46 71 96 94 และ +33 6 03 59 97 05 ก่อนหน้านี้สถานทูตได้แจ้งความคืบหน้าการหยุดให้บริการของระบบขนส่งมวลชนในฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม รายละเอียดดังนี้ 1. กรุงปารีส…

กระทรวงมาตุภูมิฯสหรัฐฯออกไอเดียให้ “พลเมืองสหรัฐฯ” ทุกคนต้องสแกนใบหน้าเข้าออกประเทศ

Loading

รอยเตอร์ – รัฐบาสหรัฐฯชุดทรัมป์ต้องการบังคับใช้ข้อกำหนดใหม่ในปีหน้า กำหนดให้ผู้เดินทางผ่านเข้าออกประเทศทุกคน รวมพลเมืองสหรัฐฯต้องถูกถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง รอยเตอร์รายงานวันนี้ (3 พ.ย) ว่า ข้อกำหนดที่ถูกเสนอออกมาเมื่อกฎกฎาคมที่ผ่านมาโดยกระทรวงมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในภาพกว้างของระบบติดตามตัวนักเดินทางเข้าและออก อย่างไรก็ตามแผนที่ว่านี้ได้รับการต่อต้านออกจากกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิส่วนบุคคล โดยเจย์ สแตนลีย์ (Jay Stanley) นักวิเคราะห์นโยบายอาวุโสให้กับสหภาพสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ ACLU ได้ออกมาโต้แย้งแนวความคิดการให้สแกนใบหน้าพลเมืองอเมริกันในการผ่านเข้าออกประเทศผ่านแถลงการณ์ว่า “นักท่องเที่ยวรวมถึงพลเมืองสหรัฐฯไม่สมควรต้องยอมจำนนต่อการตรวจทางชีววิทยาที่เหมือนเป็นการบุกรุก เนื่องมาจากเงื่อนไขในการปกป้องสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในการเดินทางของพวกเขา” ทั้งนี้พบว่าสาธารณะมีเวลาราว 30-60 วันในการแสดงความเห็นต่อข้อกำหนดของสหรัฐฯ และหลังจากนั้นหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯจะทำการพิจารณาทบทวนและตอบต่อความเห็นเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ใช้ระยะเวลามากที่สุด นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯชุดทรัมป์ยังกล่าวในวาระกฎเกณฑ์ว่า ทางสหรัฐฯมีแผนที่จะออกข้อกำหนดฟาสต์แทร็กที่แยกออกมาต่างหากภายในเดือนนี้เพื่อทำให้โปรเจกต์เข้า-ออกนั้นไปไกลกว่าสถานะนำร่อง สำนักงานศุลกากรและปกป้องพรมแดนสหรัฐฯที่อยู่ภายใต้กระทรวงมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯได้ออกโครงการนำร่องทำการรวบรวมภาพถ่ายและลายนิ้วมือของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตามในปี 2018 ฝ่ายตรวจสอบภายในได้พบปัญหาด้านปฎิบัติการและเทคนิคที่สนามบิน 9 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สร้างความสงสัยว่าทางกระทรวงมาตุภูมิสหรัฐฯจะสามารถทำได้ทันกำหนดเส้นตายของตัวเองหรือไม่ที่จะสมารถยืนยันการเดินทางออกนอกประเทศของชาวต่างชาติทุกคนได้ทันในสนามบินขนาดใหญ่ 20 แห่งทั่วประเทศภายในปีงบประมาณปี 2021 ————————————– ที่มา : MGR Online / 3 ธันวาคม 2562 Link : https://mgronline.com/around/detail/9620000115756

เอฟบีไอระบุ “เฟซแอปฯ” บ่อนทำลายความมั่นคงชาติ

Loading

เอฟบีไอ ระบุ “เฟซแอปฯ” รวมถึงแอปฯอื่นๆที่พัฒนาในรัสเซีย ถือเป็นภัยอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ วันนี้ ( 3 พ.ย. 62 )สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯหรือเอฟบีไอส่งจดหมายถึงนายชัด ชูเมอร์วุฒิสภาสหรัฐฯที่ขอให้มีการสอบสวน “เฟซแอปฯ” เมื่อเดือนกรกฏาคม เนื่องจากกังวลว่า เฟซแอพจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานที่เป็นชาวอเมริกันหลายล้านคน และเป็นภัยอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฟซแอพเป็นแอพพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่ายเรื่องการล้วงข้อ มูลส่วนตัว เนื่องจากเป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกพัฒนาโดยบริษัทเทคโนโลยีนอกสหรัฐฯ เอฟบีไอระบุว่าแอพพลิเคชั่นบนมือถือที่ถูกพัฒนาในรัสเซียเป็นภัยคุกคามด้านการต่อต้านข่าวกรองของชาติซึ่งเอฟบีไอจะดำเนินการทันที หากพบหลักฐานว่ามีการแทรกแซงจากต่างชาติ ผ่านแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ที่สามารถเปลี่ยนรูปถ่ายของผู้ใช้ได้เพื่อให้ดูเด็กหรือแก่ขึ้น ขณะที่เฟซแอพยังไม่ได้ออกมาชี้แจงในเรื่องดังกล่าว โดยเฟซแอพพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไวร์เลส แล็บ (Wireless Lab) ซึ่งตั้งอยู่ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซีย โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยระบุว่า ไม่มีการเก็บภาพของผูัใช้งานไว้แบบถาวร และไม่มีการเก็บข้อมูลต่างๆ โดยมีการอัพโหลดภาพถ่ายเฉพาะที่ผู้ใช้เลือกสำหรับการตัดต่อเท่านั้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ผู้บัญญัติกฏหมายในสหรัฐฯ เคยพุ่งเป้าโจมตีแอพพลิเคชั่นติ๊กต็อก (TikTok) ของจีนที่มีผู้ใช้งานประมาณ 500 ล้านคนทั่วโลกและได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งนายชูเมอร์ก็เคยเรียกร้องให้มีการสอบสวนแอพพลิเคชั่นดังกล่าว รวมถึงแอพอื่นๆจากจีนเพื่ประเมินความเสี่ยงที่มีต่อความมั่นคงของชาติด้วย ——————————————————– ที่มา : TNN Thailand / 3 ธันวาคม 2562 Link :…

ระทึก! บึ้มในสวนใกล้ทำเนียบปธน.อินโดฯ ทหารเจ็บ 2 สถานทูตไทยเตือนเลี่ยงพื้นที่

Loading

เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียระบุว่า เกิดเหตุระเบิดควันระเบิดในสวนสาธารณะใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นาย กาโตต์ เอ็ดดี ปราโมโน เจ้าหน้าที่ตำรวจจาการ์ตา ระบุว่า ระเบิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่สวนสาธารณะอนุสาวรีย์แห่งชาติ โดยเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารพบระเบิดควันวางอยู่ในสวนและเกิดระเบิดขึ้นขณะที่กำลังจะเก็บระเบิดขึ้นมา ปราโมโนระบุว่า ทหาร 2 นาย ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่มีอาการคงที่ ปราโมโนระบุด้วยว่า กำลังมีการสืบสวนเหตุระเบิดดังกล่าว ซึ่งรวมไปถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่จะบังเอิญทำหล่นเอาไว้เนื่องจากเวลานี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารหลายพันนายลงพื้นที่กรุงจาการ์ตา เพื่อรักษาความปลอดภัยการเดินขบวนของกลุ่มมุสลิมอนุรักษนิยมที่จัดขึ้นใกล้กับสวนสาธารณะดังกล่าว ด้านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ระบุว่า เกิดเหตุระเบิดบริเวณอนุสาวรีย์แห่งชาติ ในกรุงจาการ์ตา ยังไม่มีรายงานคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา โพสข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า ด้วยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 เวลา 07.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณอนุสาวรีย์แห่งชาติ (Monas) ในกรุงจาการ์ตา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 2 ราย ในเบื้องต้นยังไม่มีรายงานคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว…