หน่วยงานข่าวร่วมมือสื่อออนไลน์สร้างระบบตรวจสอบคุณภาพข่าวในโครงการ ‘Trust Project’

Loading

โครงการนี้ สร้าง ‘Trust Indicator’ เพื่อให้ผู้รับข่าวสารรับทราบถึงคุณภาพของข้อมูล หน่วยงานข่าว 75 องค์กร ร่วมกับ Facebook, Twitter, Google และบริษัทสื่อสังคมออนไลน์หลายแห่ง ร่วมทำงานเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข่าวสารบนโซเชียลมีเดีย ภายใต้โครงการ ‘Trust Project’ คณะทำงานของโครงการนี้ประชุมกันที่เมืองซานตา คารา รัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อร่วมกันสร้างตัวบ่งชี้ความน่าเชื่อถือหรือ Trust Indicator ที่แทนด้วยสัญลักษณ์ ‘i’ บนโซเชี่ยลมีเดีย เพื่อให้ผู้รับข่าวสารรับทราบถึงคุณภาพของข้อมูล Sally Lehrman จาก Santa Clara University ด้านการใช้หลักการจริยธรรม กล่าวว่า สังคมมีความสงสัยมากขึ้นถึงคุณภาพของข่าวสาร ดังนั้นผู้รับข่าวควรได้ข้อมูลที่ทำให้พวกตนทราบถึงผู้เสนอข่าวเรื่องจรรยาบรรณและคุณภาพด้านวิชาชีพ ตัวบ่งชี้ความน่าเชื่อถือหรือ Trust Indicator ที่แทนด้วยสัญลักษณ์ ‘i’ จะอยู่ข้างข่าวออนไลน์ รวมถึงข้อมูลเนื้อหาที่ผู้ใช้สามารถแชร์ได้บนโซเชียลมีเดีย function นี้ช่วยบ่งชี้ถึงต้นตอและคุณภาพของข่าวสาร Facebook, Twitter และ Google เคยถูกวิจารณ์ว่ามีส่วนทำให้เกิดการแพร่ข้อมูลเท็จออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว โดยหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อว่า รัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงการเมืองอเมริกันช่วงนั้น…

รัฐบาลขอความร่วมมือ ใช้กล้องวงจรปิดเอกชน ดูแลความปลอดภัย-ป้องกันความมั่นคง

Loading

“คงชีพ” เผย “ประวิตร” เล็งขอความร่วมมือกล้องวงจรปิดภาคเอกชน เชื่อมโยงภาครัฐ ดูแลความปลอดภัยประชาชนในพื้นที่สาธารณะ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการบริหารการบูรณาการแผนและระบบกล้อง ประสานทุกส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดติดตาม รวบรวมข้อมูลสถานภาพกล้องวงจรปิดทั่วประเทศที่มีอยู่จริงจากการสำรวจที่ผ่านมา พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการเชื่อมโยงระบบกล้องทั่วประเทศ และแผนบริหารจัดการระบบและการใช้ข้อมูลของทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดต่างๆ และภาพรวมของประเทศ ให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประชุมภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ พล.ท.คงชีพ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทย พิจารณาจัดทำแผนติดตั้งกล้องวงจรปิดเร่งด่วนเพิ่มเติมในพื้นที่จุดเสี่ยงที่จำเป็นของแต่ละจังหวัด พร้อมทั้งประสานขอความร่วมมือภาคเอกชน สนับสนุนการเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งนอกอาคาร ให้สามารถสานต่อครอบคลุมเป็นเครือข่ายดูแลความปลอดภัยของประชาชนได้ในภาพรวม “การบูรณาการเชื่อมโยงเครือข่ายและใช้ศักยภาพกล้องวงจรปิดภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ รวมทั้งการสนับสนุนติดรถยนต์สาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและติดตามการเชื่อมโยงปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าความร่วมมือของภาคเอกชนในงานความมั่นคง จะเป็นกำลังร่วมที่สำคัญในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและสร้างวินัยทางสังคมควบคู่กันไปในภาพรวม” โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว —————————————————— ที่มา : มติชนออนไลน์ / 16 พฤศจิกายน 2560 Link : https://www.matichon.co.th/news/733440

WikiLeaks แฉ Source Code เครื่องมือสอดแนมของ CIA

Loading

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา WikiLeaks ได้เปิดเผยถึงเครื่องมือชุดใหม่ของ CIA รวมไปถึง Source Code ของเครื่องมือที่เรียกว่า Hive ที่สามารถใช้เพื่อควบคุมมัลแวร์ที่ถูกติดตั้งอยู่บนอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ก่อนหน้านี้ WikiLeaks ได้เคยปล่อยเอกสารที่เป็นของเครื่องมือเหล่านี้ เมื่อเดือนมีนาคมถึงสิงหาคมแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาแสดง Source Code ของชุดเครื่องมือสอดแนมที่ CIA ครอบครองอยู่ Julian Assange ผู้ก่อตั้ง WikiLeaks ได้พูดว่านี่คือซีรี่ย์ใหม่ของเรื่องราวที่เรียกว่า ‘Vault 8’ (เป็นการตั้งชื่อเรื่องราวที่อ้างถึงขึ้นมาเอง) โดย Hive เป็นเพียงแค่ปฐมบทของการเปิดฉากในตอนนี้เท่านั้นและได้รวมรวบ Source Code ของเครื่องมือที่เคยอ้างถึงใน Vault 7  “การเปิดเผยต่อสาธารณชนครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักข่าวสายสืบสวน ผู้เขี่ยวชาญด้าน Forensic และสาธาราณชนทั่วไป เพื่อเป็นข้อพิสูจน์และเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนประกอบโครงสร้างของ CIA ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังอ้างถึง Hive ว่าได้แก้ปัญหาสำคัญในการทำงานของมัลแวร์ที่ CIA ในเรื่องของมัลแวร์ที่ถูกฝังในเครื่องเหยื่อว่าถ้าหากไม่สามารถติดต่อกับส่วนควบคุมได้อย่างมั่งคงปลอดภัย มันก็ไร้ประโยชน์แม้ว่ามัลแวร์ตัวนั้นจะมีความซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม” –WikiLeaks กล่าวในเว็บของตน เมื่อเดือนมีนาคม WikiLeaks ได้รับเอกสารและเครื่องมือเจาะระบบที่ถูกขโมยมาจาก CIA แต่ว่าพวกเขายังไม่เปิดเผยถึง Code เนื่องจากอาจเผยให้เห็นช่องโหว่หรือ Bug ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข…

ทำความรู้จัก “ซิมอัตลักษณ์”

Loading

ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.2560 เป็นต้นไป ผู้ซื้อซิมโทรศัพท์มือถือใหม่ทุกคนจะต้องถูกจัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีอัตลักษณ์ นั่นคือการถ่ายภาพตรวจสอบใบหน้าและสแกนลายนิ้วมือ (Finger Print) เพื่อพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่แท้จริง ตามคำสั่งของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขั้นตอนดังกล่าวถูกบังคับใช้ทั้งการซื้อซิมผ่านศูนย์บริการ ร้านค้าที่จำหน่ายซิม หรือซื้อผ่านระบบออนไลน์ หากไม่มีการลงทะเบียนซิมมือถือใหม่ด้วยวิธีอัตลักษณ์จะไม่สามารถใช้งานได้ การลงทะเบียนซิมมือถือด้วยวิธีอัตลักษณ์ ซึ่งจะสามารถตรวจสอบใบหน้าและสแกนลายนิ้วมือของผู้ซื้อซิมนั้น จะช่วยพิสูจน์ตัวตนว่าผู้ซื้อซิมเป็นเจ้าของบัตรประชาชนตัวจริง ช่วยลดการปลอมแปลง เนื่องจากปัจจุบันแม้จะต้องใช้บัตรประชาชนในการซื้อซิมมือถืออยู่แล้ว แต่ยังคงมีการปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชนอยู่เนืองๆ ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.เป็นต้นไป ผู้ที่มีความประสงค์จะซื้อซิมมือถือเบอร์ใหม่ ต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดหรือพาสปอร์ตตัวจริงกรณีเป็นชาวต่างชาติ หรือบัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าวตัวจริง ไปซื้อซิม ณ จุดขาย ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการลูกค้าของ ค่ายมือถือ ตัวแทนจำหน่ายซิมมือถือที่มีอยู่ราว 55,000 แห่งทั่วประเทศ ระบบการลงทะเบียนด้วยวิธีอัตลักษณ์ ณ จุดซื้อซิม จะมีทั้งสแกนลายนิ้วมือและถ่ายภาพตรวจสอบใบหน้าผ่านเครื่องอ่านบัตรหรือSmart Card Reader ปัจจุบันค่ายมือถือได้นำระบบสแกนลายนิ้วมือ มาให้บริการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอำเภอนาทวี และอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา รวม 25 จุด และในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อีก…

‘Big Data’ หลอมรวมกับ ‘Big Brother’: ระบบให้คะแนนประชาชนโดยรัฐบาลจีน

Loading

     จากข่าวเรื่องที่ทางการจีนกำลังวางแผนระบบ ‘ให้คะแนน’ ประชาชนของตัวเอง ฟังดูเหมือนฝันร้ายจากนิยายวิทยาศาสตร์ดิสโทเปีย แต่ในยุคสมัยที่ข้อมูลของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตถูกเก็บอย่างกว้างขวางบวกกับรัฐบาลอำนาจนิยมที่มองประชาชนเป็น ‘เด็กๆ’ แบบจีนแล้ว ก็น่าประเมินว่าแผนการนี้จะสร้างหายนะต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวหรือแม้กระทั่งหายนะต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปหรือไม่      11 พ.ย. 2560 ทางการจีนมีแผนออกระบบที่เรียกว่า ‘ระบบเครดิตทางสังคม’ ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นระบบการให้คะแนนประชาชนกว่า 1,300 ล้านคนในประเทศ      คะแนนดังกล่าวคือคะแนนที่จะระบุว่ารัฐบาลเชื่อถือประชาชนคนนั้นมากขนาดไหน มีการวัดคะแนนพวกนี้ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ในโลกออนไลน์ของแต่ละบุคคล นั่นหมายความว่าถ้าหาก         คุณซื้อของบางอย่างที่รัฐบาลไม่ชอบ หรือเล่นเกมมากเกินไปหน่อย รัฐบาลก็อาจจะหาเรื่องลดคะแนนคุณได้ ระบบการตรวจสอบเรื่องพวกนี้ง่ายขึ้นในยุคสมัย ‘บิ๊กเดตา’ ที่บรรษัทไอทีใหญ่ๆ มักจะเก็บข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ของผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อหาเหตุทางการค้า แต่ในคราวนี้รัฐบาลจีนกำลังจะนำมาใช้กับการให้คะแนนตัวบุคคลซึ่งอาจจะส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขา อย่างการพิจารณาเข้าเรียนที่ใด หรือการจะได้ทำงานที่ใดด้วย หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างจะมีคนยอมเป็นแฟนด้วยหรือไม่ถ้าหากพวกเขามีคะแนนเท่านี้      แผนการนี้มีระบุอยู่ในเอกสารของคณะรัฐมนตรีเผยแพร่ออกมาในปี 2557 ทางการจีนอ้างว่าพวกเขาต้องการสร้างวัฒนธรรมแห่ง ‘ความจริงใจ’ แต่หลายคนไม่มองเช่นนั้น    …

ม็อบปะทะตำรวจปราบจลาจลหน้าสถานทูตสหรัฐ ในกรุงมะนิลา ประท้วง “ทรัมป์” เยือนฟิลิปปินส์

Loading

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ชาวฟิลิปปินส์หลายร้อยคนรวมตัวกันบริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ จะเดินทางถึงประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ในวันเดียวกัน และเป็นประเทศสุดท้ายของการทัวร์เอเชียของทรัมป์ รายงานระบุว่า กลุ่มผู้ประท้วงพากันถือป้าย “Dump Trump” และ “Down with U.S. Imperialism” เพื่อแสดงการต่อต้านจักรวรรดิของทรัมป์ และระบุว่าทรัมป์จะเดินทางมาฟิลิปปินส์เพื่อทำข้อตกลงที่ไม่มีความยุติธรรมต่อฟิลิปปินส์ และมีรายงานการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ปราบจลาจล จนเกิดความวุ่นวายขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องฉีดน้ำเพื่อสลายกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์จะเป็นประเทศสุดท้ายของการทัวร์เอเชียของประธานาธิบดีทรัมป์ หลังเสร็จสิ้นการเยือน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และเวียดนาม โดยมีรายงานว่า ทรัมป์จะพบหารือกับประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ของฟิลิปปินส์ ที่กรุงมะนิลา ซึ่งบรรดากลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างพยายามเรียกร้องให้ทรัมป์กดดันนายดูแตร์เต เกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน อันเกิดจากนโยบายกวาดล้างยาเสพติดของผู้นำฟิลิปปินส์ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายพันคน แต่นายดูแตร์เตเชื่อว่า ทรัมป์จะไม่นำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยกันระหว่างการเดินทางเยือนครั้งนี้ ————————————————- ที่มา : มติชนออนไลน์ / 12 พฤศจิกายน 2560…