มะกันเพิกถอนวีซ่าชาวจีนกว่าพันคน หวั่นเป็นภัยคุกคามความมั่นคง

Loading

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาแถลงเมื่อวันที่ 9 กันยายน ว่า จนถึงวันที่ 8 กันยายน สหรัฐได้ทำการเพิกถอนวีซ่าของบุคคลสัญชาติจีนไปแล้วมากกว่า 1,000 ราย ซึ่งเป็นไปภายใต้คำประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่สั่งห้ามการเดินทางเข้ามาของนักศึกษาและนักวิจัยชาวจีนที่ดูเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ อันเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการตอบโต้จีนของสหรัฐกรณีจำกัดการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง อย่างไรก็ดี โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐชี้ว่านักศึกษาและนักวิจัยชาวจีนที่ถูกเพิกถอนวีซ่านี้เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ของชาวจีนที่เดินทางเข้ามาศึกษาและทำวิจัยในประเทศสหรัฐ ซึ่งนักเรียนนักศึกษาที่มีความถูกต้องชอบธรรมทางกฎหมายจะยังคงได้รับการต้อนรับจากสหรัฐต่อไป ก่อนหน้านั้นนายแชด วูล์ฟ รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐกำลังยุติกการออกวีซ่าให้กับนักศึกษาและนักวิจัยชาวจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ของกองทัพจีน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลและงานวิจัยที่มีความอ่อนไหว นายวูล์ฟยังกล่าวเน้นย้ำในสิ่งที่สหรัฐกล่าวหาจีนว่าได้ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจและจีนยังจารกรรมข้อมูลด้านอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงความพยายามขโมยงานวิจัยเรื่องไวรัสโคโรนา ตลอดจนการใช้วีซ่านักเรียนเพื่อแสวงหาประโยชน์จากสถานศึกษาของสหรัฐ ทั้งนี้ ผลจากมาตรการข้างต้นได้มีนักศึกษาชาวจีนบางรายที่สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของสหรัฐแล้ว ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาได้รับอีเมล์แจ้งจากสถานทูตสหรัฐในกรุงปักกิ่งหรือสถานกงสุลสหรัฐในจีนว่าวีซ่าของพวกเขาถูกยกเลิกแล้ว ————————————————– ที่มา : มติชน / 10 กันยายน 2563 Link : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2342637

ระทึก! ระเบิดโจมตีขบวนรถ ‘รอง ปธน.อัฟกัน’ ดับ 4 ศพ-เจ็บกว่า 20 คน

Loading

เกิดเหตุระเบิดโจมตีขบวนรถยนต์ของอัมรุลเลาะห์ ซาเลห์ รองประธานาธิบดีคนที่ 1 ของอัฟกานิสถานในกรุงคาบูลเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (9 ก.ย.) ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างน้อย 20 คน ขณะที่ตัวรองประธานาธิบดีรอดหวุดหวิด ล่าสุดยังไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่การเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลคาบูลกับกลุ่มติดอาวุธตอลิบานจะเปิดฉากขึ้นที่กรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ “ศัตรูของอัฟกานิสถานพยายามทำร้าย ซาเลห์ อีกครั้งในวันนี้ แต่แผนการชั่วร้ายของพวกเขาล้มเหลว และซาเลห์ไม่ได้รับอันตรายใดๆ” รัซวาน มูราด โฆษกประจำสำนักงานของ ซาเลห์ แถลงผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมยืนยันกับรอยเตอร์ว่าระเบิดลูกนี้พุ่งเป้าไปที่ขบวนรถของรองประธานาธิบดี และมีบอดี้การ์ดของซาเลห์ บาดเจ็บไปหลายคน ซาเลห์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง เคยตกเป็นเหยื่อความพยายามลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดคือเหตุโจมตีสำนักงานของเขาเมื่อปีที่แล้วซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 20 คน โฆษกกระทรวงสาธารณสุขอัฟกานิสถาน ระบุว่า เหตุระเบิดล่าสุดมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย และบาดเจ็บอีก 16 คน เจ้าหน้าที่และนักการทูตต่างออกมาเตือนว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจบั่นทอนความไว้วางใจของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการเจรจาสันติภาพ ที่มา : รอยเตอร์ —————————————————————— ที่มา : MGR Online / 9 กันยายน…

ปอท.สอบระบบข้อมูล รพ.สระบุรี หลังถูกแฮกเรียกค่าไถ่

Loading

MGR Online – รอง ผบก.ปอท.แจงการป้องกันถูกแฮกข้อมูลจาก Ransomware หลังปล่อยไวรัสทำระบบ รพ.สระบุรี ล่มและเรียกค่าไถ่ เชื่อเป็นอาชญากรเจาะระบบจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาพบเคยก่อเหตุมาแล้วกับบริษัทเอกชนและภาครัฐของไทย วันนี้ (10 ก.ย.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บก.ปอท. กล่าวถึงกรณีโรงพยาบาลสระบุรีถูกคนร้ายแฮกข้อมูลจนทำให้ระบบฐานข้อมูลคนไข้ใช้งานไม่ได้แล้วเรียกค่าไถ่ว่า เบื้องต้น พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น ผบก.ปอท.ได้สั่งการให้ฝ่ายเทคนิคและฝ่ายสืบสวน ปอท.ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว ขณะนี้ยังไม่ยืนยันตัวผู้ปล่อยไวรัสโจมตีระบบข้อมูลของโรงพยาบาลสระบุรีเป็นใคร ปฏิบัติการในประเทศหรือนอกประเทศ แต่รูปแบบการก่อเหตุลักษณะดังกล่าวที่ผ่านมามักเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำจากต่างประเทศ โดยใส่รหัสล็อกข้อมูลในไฟล์สำคัญในองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน หรือข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเรียกเงินค่าไถ่จากองค์กรหรือบุคคลนั้นๆ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์กล่าวอีกว่า การเจาะข้อมูลของโรงพยาบาลสระบุรี เชื่อว่าแฮกเกอร์มีเจตนาต้องการเรียกเงินเพื่อแลกกับการปลดล็อกข้อมูล เพราะเป็นรูปแบบที่เคยก่อเหตุเจาะข้อมูลบริษัทเอกชนและภาครัฐในประเทศไทยมาแล้ว ซึ่งข้อมูลของตำรวจ ปอท.พบว่าในอดีตมีหลายบริษัทไม่สามารถกู้ข้อมูลในระบบคืนได้จึงจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าไถ่ตามเรียกร้อง แต่กรณีการเจาะระบบข้อมูลเรียกค่าไถ่จากโรงพยาบาลในประเทศไทย ที่ผ่านมาทราบว่ายังไม่เคยเกิดขึ้น โดยปกติแล้วเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับโรงพยาบาลเพราะผู้ได้รับผลกระทบคือผู้ป่วย อย่างไรก็ดี ในคดีนี้ บก.ปอท.จะได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องการตรวจสอบช่องโหว่ของระบบและพยายามร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกู้คืนข้อมูล “ส่วนข้อมูลคดีดังกล่าวพบว่าเป็น Ransomware ซึ่งเป็นมัลแวร์ชนิดหนึ่งที่พบมานานหลายปี โดยผู้ก่อเหตุมักจะส่งอีเมลหรือลิงก์ที่มีข้อความลักษณะจูงใจ เมื่อมีผู้หลงเชื่อกดลิงก์เปิดอ่าน ระบบจะถูกเจาะและเข้ารหัส ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เป็นความเสียหาย…

สงครามเทคโนโลยี จุดเปลี่ยนเกม ‘หยวน-ดอลลาร์’

Loading

ภายหลังเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมากจากพิษไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐติดลบอย่างหนัก ก็เริ่มมีการพูดกันว่า ดอลลาร์สหรัฐกำลังสูญเสียความเป็นเจ้าแห่งทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนิยมซื้อเข้าเก็บเป็นทุนสำรองต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ในเวลานี้ยังไม่มีเงินสกุลอื่นเป็นทางเลือกมาทดแทนดอลลาร์สหรัฐ” เพราะคู่แข่งขันที่ใกล้เคียงที่สุด ไม่ว่าจะเป็น “หยวน” ของจีน หรือ “ยูโร” ก็ยังห่างชั้นจากดอลลาร์สหรัฐมาก อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเงินหยวนของจีนกำลังมีความสำคัญเพิ่มขึ้นทั้งในการค้าโลก และในทุนสำรองระหว่างประเทศ เพราะอิทธิพลเศรษฐกิจจีนกำลังเพิ่มขึ้นนั่นเอง ธนาคารดีบีเอสของสิงคโปร์ระบุว่า ปัจจุบันเงินหยวนอยู่อันดับ 6 ในฐานะสกุลเงินที่ทั่วโลกนิยมใช้ชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ ขณะที่จีนใช้เงินหยวนชำระประมาณ 20% ของการค้าทั้งหมดของจีน ทั้งนี้ กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ก็เป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของจีน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้จีนเพิ่มการใช้เงินหยวนข้ามแดน “ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐที่ลามไปถึงภาคเทคโนโลยีและการเงิน จุดประกายรอบใหม่ให้จีนผลักดันเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินสากล” ดีบีเอสระบุ ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) “เงินหยวน” มีส่วนแบ่งในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี ค.ศ. 2016 เป็น 2% ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน เงินหยวนก็แข็งค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น วันอังคารที่ 1 กันยายน เงินหยวนออนชอร์แข็งค่ามากสุดในรอบเกือบ 16 เดือน ไปอยู่ที่…

‘อินเดีย’ ปิดประตูยักษ์เทคจีน ขยายปมพิพาท ‘พรมแดน’

Loading

ไม่มีทีท่าจะยุติลงโดยง่าย สำหรับความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอินเดียและจีน หลังจากที่เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังทหาร 2 ฝ่ายในพื้นที่พิพาทแนวพรมแดนเทือกเขาหิมาลัยมาเป็นระยะนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และหนึ่งในวิธีหรือมาตรการ ที่รัฐบาลอินเดียใช้ตอบโต้มหาอำนาจอย่างจีน คือ การแบนแอปพลิเคชั่นสัญชาติจีนที่กำลังขยายอิทธิพลอยู่ในอินเดีย รวมทั้งการออกกฎหมายควบคุมการลงทุนด้านเทคโนโลยีจากจีนเพิ่มมากขึ้น ไฟแนนซ์เชียลไทมส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้ประกาศห้ามการใช้งานและให้บริการแอปพลิเคชั่นสัญชาติจีนเพิ่มขึ้นรวมเป็น 118 แอปพลิเคชั่น โดยระบุว่า แอปพลิเคชั่นเหล่านั้นมีการขโมยและส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานชาวอินเดียไปยังเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็น “ภัยต่อความมั่นคงของชาติและการป้องกันประเทศของอินเดีย” คำสั่งแบนแอปพลิเคชั่นจีนครั้งนี้จะมีผลต่อแอปพลิเคชั่นชื่อดังที่ชาวอินเดียนิยมใช้งานหลายตัวเช่น แอปพลิเคชั่นเกมยอดนิยม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของวัยรุ่นอินเดียอย่าง “พับจี โมบาย” (PUBG Mobile) ของบริษัท เทนเซนต์ (Tecent) ไปจนถึงแอปพลิเคชั่นออกเดต “ถานถาน” (Tantan) ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นแอปฯทินเดอร์จีน รวมถึงแอปพลิเคชั่นแต่งภาพอย่าง “เหม่ยตู้” (Meitu) อินเดียนับว่าเป็นหนึ่งในตลาดผู้ใช้บริการขนาดใหญ่ของหลายแอปพลิเคชั่น จากจำนวนประชากรมหาศาลของอินเดีย โดยการประกาศแบนแอปพลิเคชั่น ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อหลายแอปพลิเคชั่นที่มีผู้ใช้บริการชาวอินเดียจำนวนมาก รวมถึง “อาลีเพย์” (Alipay) แอปพลิเคชั่นธุรกรรมทางการเงินของ “อาลีบาบา” และเสิร์ชเอนจิ้น “ไป่ตู้” (Baidu) ที่ได้รับนิยมอย่างสูงในอินเดีย การแบนแอปพลิเคชั่นจีนของรัฐบาลอินเดียครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดการเผชิญหน้ากันอีกครั้งระหว่างกองกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศบริเวณพื้นที่พรมแดนลาดักห์ ในวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลอินเดียระบุว่า การเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารของจีนเป็นการยั่วยุและคุกคาม ขณะที่รัฐบาลจีนก็กล่าวหาว่า กองกำลังทหารของอินเดียได้เข้ายึดครองพื้นที่สูงซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจีนระบุว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดพื้นที่พิพาทในส่วนที่จีนอ้างสิทธิ์ และเรียกร้องให้อินเดียถอนกองกำลังทหารดังกล่าวออกจากพื้นที่ในทันที ทั้งนี้ การเผชิญหน้าระหว่างกองกำลังทหาร 2 ชาติมีมาเป็นระยะ ต่อเนื่องมาตั้งแต่การปะทะกันครั้งแรกในรอบหลายสิบปีบริเวณหุบเขากัลวาน…

ภาพดาวเทียมเผย เกาหลีเหนือเตรียมยิงขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ

Loading

สถาบันวิจัยสหรัฐเผยภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลางที่ปล่อยจากเรือดำน้ำ ศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) ในสหรัฐ เผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอู่ต่อเรือซินโปที่บันทึกไว้เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีเรือหลายลำเทียบท่าอยู่ โดยหนึ่งในนั้นคล้ายกับเรือที่เกาหลีเหนือเคยใช้ลากเรือท้องแบนติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธลงทะเลก่อนหน้านี้ CSIS คาดว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมทดสอบยิงขีปนาวุธรุ่น พุกกุกซอง-3 (Pukguksong-3) ซึ่งยิงจากเรือดำน้ำ (SLBM) เมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว เกาหลีเหนือประกาศความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธพุกกุกซอง-3 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขจัดภัยคุกคามจากภายนอก ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นการยั่วยุที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่เกาหลีเหนือเจรจายุติโครงการนิวเคลียร์กับสหรัฐในปี 2018 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่อู่ต่อเรือซินโปเกิดขึ้นท่ามกลางสัญญาณว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมการจัดพิธีสวนสนามในเดือนหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่ามีขึ้นเพื่อโชว์ขีปนาวุธใหม่อย่างที่เกาหลีเหนือเคยทำก่อนหน้านี้ อู่ต่อเรือซินโป อู่ต่อเรือซินโป เรือดำน้ำคลาสโรมิโอ 2 ลำ จอดในฐานทัพเรือมายางโด —————————————————- ที่มา : โพสต์ทูเดย์ / 5 กันยายน 2563 Link : https://www.posttoday.com/world/632275