กต.ฟิลิปปินส์ไม่ต่อสัญญาเอาต์ซอร์ส บริษัทเอาข้อมูลออกไป, ทางการต้องพิสูจน์เจ้าของหนังสือเดินทางใหม่หมด

Loading

กระทรวงต่างประเทศฟิลิปปินส์ไม่ต่อสัญญาจ้างบริษัทเอาต์ซอร์สที่ดูแลระบบหนังสือเดินทางให้ และหลังจากไม่ต่อสัญญาบริษัทก็ “นำข้อมูลออกไป” ทั้งหมด ทำให้ทางกระทรวงต่างประเทศไม่มีข้อมูลใช้งาน ตอนนี้กระทรวงต่างประเทศฟิลิปปินส์ต้องใช้ใบเกิดในการออกหนังสือเดินทาง เพื่อสร้างฐานข้อมูลขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ขณะที่คณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลฟิลิปปินส์ (National Privacy Commission – NPC) กำลังเรียกทั้งบริษัทเอาต์ซอร์สและผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำเพราะกรณีนี้เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก ———————————————- ที่มา : Blognone / 14 January 2019 Link : https://www.blognone.com/node/107535

จนท.สนามบินสหรัฐฯสะเพร่าปล่อยผู้โดยสารพกปืนขึ้นเครื่อง แต่แจงไม่เกี่ยวชัตดาวน์

Loading

ซีเอ็นเอ็น – นักเดินทางคนหนึ่งพกปืนผ่านมาตรการคัดกรอง โดยสารเครื่องบินลำหนึ่งจากท่าอากาศยานฮาร์ทสฟิลด์-แจ็คสัน ในแอตแลนตา มุ่งหน้าสู่สนามบินนาริตะ เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ตามถ้อยแถลงของสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งสหรัฐฯในวันจันทร์(14ม.ค.) แต่ทางหน่วยงานแห่งนี้ยืนยันข้อบกพร่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับภาวะชัตดาวน์ เดลต้า แอร์ไลน์ส ก็ออกถ้อยแถลงถึงซีเอ็นเอ็นเช่นกัน ด้วยระบุว่าทางสายการบินได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวไปยังสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งสหรัฐฯแล้ว เหตุละเมิดมาตรการรักษาความปลอดภัยครั้งนี้มีขึ้น 2 สัปดาห์หลังหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ โดยระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ของ TSA ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ตามปกติแต่ไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้ซีเอ็นเอ็นรายงานเหตุการณ์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม หรือ 1 วันหลังเกิดเหตุ ซึ่งตอนนั้นพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของ TSA หลายร้อยคนตามท่าอากาศยานหลักต่างๆอย่างน้อย 4 แห่งโทรมาลาป่วย อย่างไรก็ตามทาง TSA ปฏิเสธข้อสันนิษฐานว่าภาวะชัตดาวน์เป็นตัวก่อให้เกิดข้อผิดพลาดด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยและยืนยันว่าจำนวนของเจ้าหน้าที่ TSA ที่ปฏิบัติงานในวันนั้นอยู่ในระดับปกติ “ข้อสันนิษฐานที่ว่าเรื่องนี้อาจเป็นผลจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนนั้นไม่ถูกต้อง” TSA “อัตราการลาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าของเจ้าหน้าที่ TSA ในวันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2019 นั้น มีเพียง 4.8% น้อยกว่าระดับ 6.8%ของวันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2014 ดังนั้นข้อเท็จจริงคืออัตราการลาของปีที่แล้วสูงกว่าปีนี้เสียอีก” สำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งสหรัฐฯ(TSA)…

ธนาคารญี่ปุ่นจะใช้ระบบจดจำใบหน้า เปิดบัญชี,ถอนเงินได้ในไม่กี่นาที

Loading

ธนาคารเซเวนในญี่ปุ่นจะใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อระบุอัตลักษณ์บุคคล โดยไม่ต้องใช้เอกสารใดๆ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีและทำธุรกรรมผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้อย่างรวดเร็ว ธนาคารเซเวนซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ในญี่ปุ่น จะนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้ในกลางปีนี้ โดยจะปรับปรุงเครื่องเอทีเอ็มให้สามารถระบุอัตลักษณ์บุคคลด้วยการจดจำใบหน้าได้ โดยลูกค้าเพียงแต่ถ่ายภาพตัวเองผ่านกล้องความละเอียดสูงที่เครื่องเอทีเอ็ม พร้อมกรอกรายละเอียดไม่กี่อย่างก็สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้เอกสารใด ๆ การเปิดบัญชีธนาคารในญี่ปุ่นยังคงต้องใช้เอกสารทางราชการ เช่น บัตรประจำตัว, หนังสือเดินทาง หรือใบขับขี่ นอกจากนี้ยังต้องมีตราประทับชื่อ ซึ่งใช้แทนลายเซ็นในญี่ปุ่น จึงมีความยุ่งยากอยู่มาก และในปัจจุบันยังไม่มีธนาคารใดสามารถเปิดบัญชีผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะถอนเงิน โอนเงินได้ด้วยการสแกนใบหน้า โดยไม่ต้องใช้รหัสลับอีกด้วย ธนาคารเซเวนมีเครื่องเอทีเอ็มกว่า 24,000 เครื่องตามร้านสะดวกซื้อเซเวน อีเลฟเวน และสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น และจะติดตั้งเครื่องเอทีเอ็มเพิ่มเติมอีกหลายพันเครื่องตามเมืองใหญ่ภายในกลางปี 2020 ธนาคารเซเวนยังมีแผนที่จะเชื่อมโยงระบบจดจำใบหน้านี้เพื่อใช้ร่วมกับธนาคารออนไลน์และธนาคารท้องถิ่นอื่น ๆ ด้วย แรงงานต่างชาติเปิดบัญชี โอนเงินกลับบ้านได้สะดวก ธนาคารเซเวนยังจะตอบรับนโยบายเปิดรับแรงงานต่างชาติมาทำงานที่ญี่ปุ่น ที่จะมีผลในเดือนเมษายน ปีนี้ โดยจะเชื่อมโยงฐานข้อมูลเข้ากับระบบขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น ทางธนาคารจะได้รับข้อมูลและยืนยันตัวตนของผู้ที่ขอวีซ่าเพื่อมาทำงานในญี่ปุ่นได้ก่อนที่จะเดินทางมาถึง ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ไม่นานหลังเดินทางมาถึงญี่ปุ่น ตามกฎหมายปัจจุบัน ชาวต่างชาติจะสามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ก็ต่อเมื่อพำนักในญี่ปุ่นนานกว่า 6 เดือน เนื่องจากต้องตรวจสอบสถานะและรายได้ กฎระเบียบนี้ได้สร้างความไม่สะดวกในกับชาวต่างชาติอย่างมาก จนรัฐบาลญี่ปุ่นก็ระบุว่าต้องปรับปรุงให้รองรับการเปิดรับแรงงานต่างชาติ ผู้บริหารธนาคารเซเวน ระบุว่า ทางธนาคารจะอำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติให้มากที่สุด ทั้งการเปิดบัญชีและโอนเงินกลับไปยังประเทศบ้านเกิด โดยลดความยุ่งยากในการทำธุรกรรม…

เวียดนามเริ่มบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ควบคุมเนื้อหาพิษต่อต้านรัฐ

Loading

เอเอฟพี – กฎหมายที่กำหนดให้บริษัทอินเทอร์เน็ตในเวียดนามต้องลบเนื้อหาที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์เห็นว่าต่อต้านรัฐ มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันอังคาร (1ม.ค.62 ) ความเคลื่อนไหวที่นักวิจารณ์เรียกว่า “รูปแบบเผด็จการของการควบคุมข้อมูล” กฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ฉบับใหม่ของเวียดนาม ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และผู้สนับสนุนเสรีภาพอินเทอร์เน็ต ที่กล่าวว่าเป็นการเลียนแบบการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตของจีน กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้บริษัทอินเทอร์เน็ตลบเนื้อหาที่รัฐบาลมองว่าเป็น “พิษ” นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างเฟซบุ๊ก และกูเกิล ยังต้องมอบข้อมูลผู้ใช้งานหากรัฐบาลร้องขอ และเปิดสำนักงานตัวแทนในเวียดนาม กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเวียดนามได้ประกาศร่างกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเมื่อเดือน พ.ย. โดยให้เวลาบริษัทต่างๆ ที่ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตในเวียดนามนาน 12 เดือน ที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ยังระบุว่า กฎหมายใหม่มีวัตถุประสงค์ที่จะป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ และกำจัด “กองกำลังฝ่ายตรงข้ามและผู้ที่เป็นปฏิปักษ์” ใช้อินเทอร์เน็ตยั่วยุปลุกปั่นความรุนแรงและการเห็นต่าง  เฟซบุ๊กตอบสนองต่อกฎหมายที่ได้รับการรับรองจากรัฐสภาเวียดนามเมื่อเดือน มิ.ย. ว่า พวกเขามุ่งมั่นต่อการปกป้องสิทธิของผู้ใช้งานและทำให้ผู้คนสามารถแสดงความเห็นของตนเองได้อย่างอิสระและปลอดภัย “เราจะลบเนื้อหาที่ละเมิดมาตรฐานของเฟซบุ๊กเมื่อเรารับทราบถึงเนื้อหานั้น” เฟซบุ๊ก ระบุ และเสริมว่า บริษัทมีกระบวนการที่ชัดเจนในการจัดการกับคำร้องขอจากรัฐบาลทั่วโลก ฮานอย กล่าวว่า กูเกิลกำลังดำเนินการที่จะเปิดสำนักงานในเวียดนามเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ กฎหมายยังห้ามมิให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเวียดนามเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกมองว่าเป็นการต่อต้านรัฐ ต่อต้านรัฐบาล หรือใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อบิดเบือนประวัติศาสตร์ และโพสต์ข้อมูลไม่ถูกต้องที่อาจก่อความสับสนและสร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจ นักวิจารณ์ กล่าวว่า เสรีภาพออนไลน์กำลังถดถอยลงภายใต้การบริหารของรัฐบาลสายแข็งกร้าวที่เข้าบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2559 และในช่วงหลายปีมานี้ มีนักเคลื่อนไหวหลายสิบรายถูกจำคุก …