หลักการกระทำละเมิด

Loading

ละเมิด คือ อะไร ละเมิด  คือ การกระทำใด ๆ ของบุคคลหรือการกระทำที่อยู่ในความรับผิดชอบของบุคคล อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น อาจเป็นการกระทำของตนเอง การกระทำของบุคคลอื่น หรือความเสียหายที่เกิดจากทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองดูแล ผู้ได้รับความเสียหายนั้นชอบที่จะได้รับการเยียวยา โดยการเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทน หรือเรียกร้อง ให้ผู้ละเมิดปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติ ในลักษณะอื่น ๆ แล้วแต่กรณี หลักการกระทำละเมิด * ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” องค์ประกอบของการกระทำที่เป็นละเมิด กล่าวคือ 1.กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ 2.กระทำโดยผิดกฎหมาย 3.การกระทำก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น 4.ความเสียหายเป็นผลมาจากการกระทำดังกล่าวนั้น ส่วนละเมิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เป็นกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับด้วยเหตุผลว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์เฉพาะตัว ในการดำเนินงานบางครั้งอาจเกิดความเสียหายขึ้นโดยความไม่ตั้งใจและผิดพลาดเล็กน้อยแต่กลับต้องรับผิดเป็นการเฉพาะตัว และที่ผ่านมายังใช้หลักของลูกหนี้ร่วมทำให้เจ้าหน้าที่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำของผู้อื่นด้วย ซึ่งเป็นระบบที่มุ่งจะให้ได้รับเงินชดใช้ค่าเสียอย่างครบถ้วนโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมที่จะมีต่อแต่ละคน จึงก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม และยังเป็นการบั่นทอนขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่จนบางครั้งเป็นปัญหาในการบริหารงานเพราะเจ้าหน้าที่ไม่กล้าตัดสินใจในการทำงานเท่าที่ควร ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้จึงสมควรให้เจ้าหน้าที่รับผิดทางละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเมื่อเป็นการจงใจให้เกิดความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น และให้แบ่งแยกความรับผิดของแต่ละคน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของรัฐ ดังนั้นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในหน้าที่ของตนนั้นหากเกิดความเสียหายขึ้นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย…

การใช้เทคนิคของแอปพลิเคชั่นหรือโปรแกรมสร้างรูปภาพเพื่อการบ่อนทำลาย ตอนที่ 2 (ตอนจบ)

Loading

          ปัจจุบันเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีและสารสนเทศ การใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ดีภัยที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน การละเมิดข้อมูล การบิดเบือนข่าวสารในสื่อโซเชียลมีเดียถูกพบเป็นจำนวนมาก เพราะการสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จนั้นทำได้ง่ายมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การใช้งานโปรแกรมตกแต่งรูปภาพในคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรม Photoshop, โปรแกรม Lightroom รวมถึงแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน ผู้ผลิตได้พัฒนาโปรแกรมให้ใช้ง่ายขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเรียนรู้ขั้นตอนการทำได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังมีเนื้อหาและวิดีโอการสอนแบบไม่เสียเงินบริการผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ อย่างแพร่หลาย             Photoshop เป็นโปรแกรมกราฟิกของบริษัท Adobe สำหรับงานอุตสาหกรรมการพิมพ์ ออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์และงานด้านมัลติมีเดีย ที่ง่ายต่อการเรียนรู้เพื่อนำมาใช้งาน คุณสมบัติของโปรแกรม Photoshop ที่พิจารณาแล้ว เห็นว่ามีความเหมาะสมสำหรับนำมาประดิษฐ์ภาพถ่าย เพื่อเผยแพร่เป็นข้อมูลข่าวสารในการสร้างความน่าเชื่อถือหรือบ่อนทำลายความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี คุณสมบัติดังกล่าวคือ              1) ตกแต่งดัดแปลงหรือแก้ไข (retouching) เช่น ปรับสีที่ผิดเพี้ยน ปรับแสงเงาที่สว่างหรือมืดเกินไป ลบแสงสะท้อนจากแฟลช ดัดแปลงโครงสร้างในภาพ            …

การใช้เทคนิคของแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมสร้างรูปภาพเพื่อการบ่อนทำลาย ตอนที่ 1

Loading

          การสื่อข่าวสารด้วยรูปภาพที่ปรากฏใน Network ปัจจุบัน บางส่วนน่าจะเกิดจากการสร้างหรือปรับแต่งรูปภาพด้วยแอปพลิเคชัน (application) หรือโปรแกรม (program) ซึ่งประเมินวัตถุประสงค์การกระทำเช่นนี้ว่า มุ่งบั่นทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมาย เพราะข่าวสารรูปภาพที่เผยแพร่และกระจายออกสู่สาธารณะแล้ว ยากต่อการควบคุมหรือลบทำลายให้สูญหายอย่างสมบูรณ์ได้           การรายงานข่าวสารพร้อมรูปภาพการสังหารนายอุซามะห์ บิน ลาดิน เมื่อ  2 พฤษภาคม 2554 เป็นตัวอย่างการปรับแต่งรูปภาพเพื่อแสวงประโยชน์ในการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งส่งผลกระทบต่อรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตรง ทั้งนี้ การสร้างรูปภาพประกอบจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดี นับเป็นส่วนหนึ่งของ Information operations (IO) ข้อมูลที่เกิดจากการดำเนินการประเภทนี้ยากต่อการพิสูจน์ ทั้งไม่สามารถตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและรวดเร็ว และยากต่อการวางแนวทางเพื่อป้องกันและป้องปราม ตัวอย่างเช่น รูปภาพการเสียชีวิตของนายบิน ลาดิน ที่ปรากฏเป็นข่าวสารเมื่อปี 2554 นั้น สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างรูปภาพเหล่านั้นขึ้นได้ เช่น การใช้โปรแกรม Photoshop ตัดต่อและตกแต่งภาพตามต้องการ           รัฐบาลสหรัฐฯ ทราบดีว่าการใช้ปฏิบัติการข่าวสารเชิงรุก (Offensive Information Operations) เช่น การให้ข้อมูลลวง  การบิดเบือนข่าวสาร การปฏิบัติการทางจิตวิทยา ฯลฯ  โดยใช้ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์สื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตทำให้เป็นที่รับรู้ของประชาชนอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว จึงมีแนวทางการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างรัดกุม การให้สัมภาษณ์ของนายบารัค โอบามา…

ข้อพิจารณาเปรียบเทียบการใช้ระบบสารสนเทศของทรัมป์ กับกฎหมายการกระทำความผิดในระบบคอมพิวเตอร์ของไทย

Loading

ขอนำข้อความจากการทวีตของนายทรัมป์ แสดงถึงการดูหมิ่น นายโจสการ์ โบโรห์ และนางมิก้า เบรสซินสกี้ พิธีกรรายการข่าวเช้า Morning Joe ทางสถานี MSNBC เมื่อ 30 มิ.ย.60 มาเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับพิจารณาเปรียบเทียบความผิดเกี่ยวกับกฎหมายกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย และข้อขัดแย้งระหว่างกฎหมายอื่นๆ ดังนี้ การโพสต์แสดงความคิดเห็นและพาดพิงบุคคลอื่นบนระบบออนไลน์ ในลักษณะดูหมิ่นเจาะจงบุคคลอย่างเปิดเผย ทั้งเผยแพร่ให้กลุ่มผู้ติดตามจำนวนมากได้รับรู้บนระบบออนไลน์ ย่อมทำให้ผู้นั้นได้รับความอับอายและเสื่อมเสีย หากเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยสามารถพิจารณาได้ว่าเป็น ความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยปกติความผิดฐานหมิ่นประมาทในประเทศไทยควบคุมและคุ้มครองโดยประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งหมายรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ในกรณีของนายทรัมป์ เทียบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย จึงเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ส่วนการนำเสนอผ่าน Twitter ส่วนตัวนั้น เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามมาตรา 328 ประมวลกฎหมายอาญาอีกด้วย เพราะนายทรัมป์ มีกลุ่มผู้ติดตามประมาณสามสิบล้านคน จึงเท่ากับเป็นการใช้ระบบออนไลน์เผยแพร่โดยทั่วไปจนเป็นที่รับทราบของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญากำหนดว่าข้อมูลที่ปรากฏความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจริงหรือข้อมูลเท็จ ถือเป็นความผิดเท่าเทียมกัน แม้จะตีความข้อความของนายทรัมป์ ว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่เนื้อความตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอม­พิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 กำหนดโทษเฉพาะความผิดจากข้อมูลคอมพิวเตอร์ “ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน” และ“อันเป็นเท็จ” เท่านั้น ซึ่งการทวีตดังกล่าวเป็นเนื้อหาจริงจากการกระทำของนายทรัมป์โดยตรง มิได้ถูกนำไปบิดเบือนหรือเป็นข้อมูลเท็จแต่อย่างใด…