อิหร่านทลายเครือข่ายทรยศชาติ สมคบCIAแทรกซึมในประเทศ

Loading

สำนักข่าว AFP รายงานว่า อิหร่านได้ทำการจับกุมผู้ต้องสงสัย 17 คนและตัดสินประหารชีวิตคนเหล่านี้ไปบางส่วน หลังจากประสบความสำเร็จในการทลายเครือข่ายสายลับ CIA ข่าวนี้ได้รับการเปิดเผยในช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐซึ่งเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิหร่าน รวมถึงการเผชิญหน้าระหว่างอิหร่านกับอังกฤษ หลังจากอังกฤษยึดเรืออิหร่านที่ช่องแคบยิบรอลต้า ทำให้อิหร่านยึดเรือของอังกฤษที่ช่องแคบฮอร์มุซเป็นการตอบโต้ หน่วยงานความมั่นคงของอิหร่านประกาศว่า ประสบความสำเร็จในการทลายเครือข่ายสายลับ CIA ระหว่างเดือนมีนาคม 2018 – มีนาคม 2019 โดยหัวหน้าหน่วยต่อต้านข่าวกรองของกระทรวงสืบราชการลับอิหร่านยังประกาศว่า “คนที่ทรยศต่อประเทศอย่างจงใจ ถูกส่งตัวไปรับการพิจารณาคดีแล้ว … บางคนถูกตัดสินประหารชีวิตและรับโทษจำคุกหลายปี” หัวหน้าหน่วยต่อต้านข่าวกรองของอิหร่านเผยว่า จากการติดตามเบาะแสเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองอเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า มีสมาชิกใหม่ที่สหรัฐทำการว่าจ้างเพื่อทำจารกรรมอิหร่าน จึงทำการทำลายเครือข่ายนี้โดยได้ดำเนินการร่วมกับ “พันธมิตรต่างประเทศ” แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นประเทศใด ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นชาวอิหร่านและทำงานเป็นอิสระจากกัน โดยแฝงตัวอยู่ในหน่วยงานที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงและระดับประเทศหน่วยงานต่างๆ รวมถึงภาคเอกชนที่ทำงานเกี่ยวข้องกัน บางคนถูกว่าจ้างให้ทำงานให้สหรัฐ โดยใช้วีซ่าเข้าสหรัฐมาล่อ โดยบางคนถูกทาบทามเมื่อยื่นขอวีซ่าในขณะที่บางคนเคยมีวีซ่ามาก่อน แต่ถูกกดดันจาก CIA ให้ร่วมมือด้วย เพื่อที่จะต่ออายุวีซ่าได้ ภารกิจของจารชนเหล่านี้ คือการรวบรวมข้อมูลที่เป็นความลับและปฏิบัติการด้านเทคนิคและงานข่าวกรองที่หน่วยงานสำคัญของอิหร่านซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงซึ่งใช้อุปกรณ์ทันสมัย โดยสมาชิกเครือข่ายทั้งหมด 17 คนได้รับการฝึกการติดต่อสื่อสารเป็นการลับโดยเจ้าหน้าที่ของ CIA และสั่งให้จารชนเหล่านี้ทำลายเอกสารทั้งหมดหากถูกเปิดเผยความลับ และให้เดินทางไปยัง “ทางออกฉุกเฉิน” ตามเมืองชายแดนของอิหร่าน หากรู้สึกไม่ปลอดภัย ————————————————–…

หวั่นภัยก่อการร้าย บริติชแอร์เวย์ระงับบินไคโร

Loading

สายการบินบริติชแอร์เวย์ของอังกฤษประกาศระงับเที่ยวบินไปกรุงไคโรของอียิปต์ 7 วันเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ ภายหลังทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัย ขณะรัฐบาลอังกฤษเตือนมีความเสี่ยงสูงจากภัยก่อการร้ายในอียิปต์ รายงานเอเอฟพีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคมกล่าวว่า สายการบินลุฟต์ฮันซาของเยอรมนีก็ระงับเที่ยวบินจากนครมิวนิกและแฟรงก์เฟิร์ตไปยังกรุงไคโรเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม โดยคำแถลงไม่ได้ระบุเหตุผล แต่สายการบินนี้กลับมาให้บริการตามปรกติแล้วเมื่อวันอาทิตย์ ส่วนบริติชแอร์เวย์ (บีเอ) ประกาศระงับการบินไปยังกรุงไคโรนาน 7 วัน โดยแถลงการณ์อ้างเหตุผลว่า สายการบินทบทวนการจัดการด้านความปลอดภัยของสนามบินทั่วโลกที่เราให้บริการทุกแห่งอย่างสม่ำเสมอ และได้ตัดสินใจระงับเที่ยวบินไปกรุงไคโร เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ระหว่างรอการประเมินเพิ่มเติม ว่ามีความปลอดภัยสำหรับการบินแล้ว “ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของลูกค้าและลูกเรือของเราเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอันดับแรกอยู่เสมอ และเราจะไม่ทำการบินจนกว่าจะปลอดภัย” แถลงการณ์กล่าว ด้านกระทรวงการบินพลเรือนของอียิปต์กล่าวว่า กระทรวงกำลังทำงานร่วมกับสถานทูตอังกฤษประจำกรุงไคโร และตัวแทนของบีเอในอียิปต์ และได้ส่งเที่ยวบินพิเศษของอียิปต์แอร์ไปยังกรุงลอนดอนทุกวันเพื่อรับผู้โดยสารที่ตกค้าง ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษมีคำแนะนำถึงชาวอังกฤษที่กำลังจะเดินทางไปอียิปต์ โดยเตือนว่ามีความเสี่ยงสูงของการก่อการร้ายโจมตีภาคการบิน และได้มีการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมสำหรับเที่ยวบินจากอังกฤษไปยังอียิปต์แล้ว ขอให้พลเมืองอังกฤษให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของสนามบินต่างๆ อย่างเต็มที่ รัฐบาลอังกฤษแนะนำพลเมืองอังกฤษให้หลีกเลี่ยงการเดินทางทางอากาศทั้งขาเข้าและขาออกจากเมืองชาร์มเอลเชค เมืองพักตากอากาศของอียิปต์บนคาบสมุทรไซนาย หากไม่มีกิจธุระจำเป็น คำเตือนอ้างถึงความเป็นไปได้สูงที่ผู้ก่อการร้ายจะพยายามก่อเหตุในอียิปต์ แม้การโจมตีส่วนใหญ่จะเกิดในเขตไซนายเหนือ แต่ยังคงมีความเสี่ยงก่อการร้ายทั่วประเทศอียิปต์ รวมถึงในกรุงไคโร. —————————————————————– ที่มา : ไทยโพสต์ / 21 กรกฎาคม 2562 Link : https://www.thaipost.net/main/detail/41555

สื่อนอกรายงาน “ไทย” ก้าวหน้าใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าสู้ก่อการร้ายภาคใต้ แต่กลุ่มสิทธิฯออกมาค้าน “เลือกปฎิบัติ”

Loading

เอเอฟพี/เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – กลายเป็นที่ฮือฮาบวกกับความไม่พอใจเกิดขึ้นเมื่อพบว่า ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในภาคใต้ซึ่งมีประชากรมุสลิมส่วนมากถูกรัฐบาลไทยออกคำสั่งให้ทำการส่งภาพถ่ายไปให้ทางการเพื่อใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ( facial recognition software) ในการขุดรากถอนโคนกลุ่มผู้ก่อการไม่สงบ หากผู้ใช้รายใดไม่ทำตามจะถูกสั่งตัดสัญญาณมือถือ หมดเขตลงทะเบียน 31 ต.ค นี้ แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนมุสลิม สถาบันข้ามวัฒนธรรม( Cross Cultural Foundation) ออกมาโต้วานนี้(25 มิ.ย) ถือเป็นการเลือกปฎิบัติ และเทคโนโลยีนี้ยังมีปัญหาเป็นต้นว่า ในสหรัฐฯ เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าของแอมะซอนที่เสนอให้ทางตำรวจสหรัฐฯใช้ทำงานผิดพลาด ระบุใบหน้าของสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ 28 คนเป็นผู้ต้องหากระทำความผิด  เอเอฟพีรายงานวันนี้(26 มิ.ย)ว่า ทางรัฐบาลไทยใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (facial recognition software )ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ที่มีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมุสลิมเชื้อสายมาเลย์เป็นตัวการลอบวางระเบิดทำให้ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทว่าคำสั่งให้ประชาชนที่อาศัยในภาคใต้และมีโทรศัพท์มือถือต้องลงทะเบียนกับทางการด้วยการส่งรูปถ่ายไปให้นั้นสร้างความไม่พอใจ ซึ่งทางโฆษกกองทัพได้ออกมากล่าวปกป้องในวันพุธ(26) ชี้ว่า นโยบายการใช้ระบบจดจำใบหน้าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อต้องการถอนรากถอนโคนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์จุดระเบิด ทั้งนี้พบว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส นับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมาอยูในความไม่สงบจากฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชื้อสายมาเลย์ ซึ่งความรุนแรงในภูมิภาคได้คร่าชีวิตคนไปแล้วกว่า 7,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนชาวมุสลิมและชามพุทธในพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ทำการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าอาจเป็นกลุ่มกบฎโดยที่ไม่ใช้หมายมาแล้วเมื่อครั้งอดีต แต่ในเวลานี้บริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้รับคำสั่งจากกองทัพให้ผู้ใช้จำนวนร่วม 1.5…