ประท้วงเรียกร้องสิทธิคนผิวสีลุกลามทั่วยุโรป!

Loading

Protest against police brutality and the death in Minneapolis police custody of George Floyd, in Nantes ตำรวจปราบจลาจลในหลายประเทศของยุโรปยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายผู้ชุมนุมในหลายเมืองของยุโรปในสุดสัปดาห์ ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิให้กับคนผิวสีเช่นเดียวกับการประท้วงในอเมริกา ที่กรุงปารีส บรรดาผู้ประท้วงรวมตัวกันที่ Place de la Republique พร้อมตะโกนคำว่า “ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีความสงบ” และเกิดการปะทะกันกับตำรวจหลังจากการประท้วงอย่างสงบผ่านไปราวสามชั่วโมง การเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ถูกตำรวจใช้เข่ากดคอไว้จนเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากลุกขึ้นเพื่อต่อต้านการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมต่อประชาชนผิวสีในฝรั่งเศสเช่นกัน ส่วนที่เมืองมาร์กเซย์ล มีรายงานผู้ประท้วงจุดไฟเผาถังขยะและขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจ และที่กรุงลอนดอน อังกฤษ เกิดการปะทะกันระหว่างผู้เดินขบวนสองกลุ่มคือกลุ่มเรียกร้องสิทธิคนผิวสีกับกลุ่มขวาจัด บริเวณสถานีรถไฟวอเตอร์ลู มีการจุดดอกไม้เพลิง และขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจในหลายพื้นที่ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ทวีตข้อความประณามการก่อความรุนแรงตามท้องถนน และระบุว่าใครก็ตามที่ทำร้ายตำรวจจะต้องเผชิญกับการปราบปรามตามกฎหมาย ตำรวจอังกฤษแถลงว่าได้จับกุมผู้ประท้วง 5 คนที่ก่อเหตุรุนแรงและทำร้ายตำรวจ และมีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 ราย กลุ่มอนุรักษ์นิยมขวาจัด ระบุว่าพวกตนพยายามปกป้องวัฒนธรรมของอังกฤษ โดยเฉพาะอนุสาวรีย์ต่าง ๆ…

UN เผยขีปนาวุธร่อนที่ใช้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ มาจาก ‘อิหร่าน’

Loading

ภาพเปลวเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทอารามโกที่เมืองอับกอยก์ (Abqaiq) จังหวัดตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย หลังถูกโดรนโจมตีเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 14 ก.ย. รอยเตอร์ – เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติยืนยันต่อคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ว่า ขีปนาวุธร่อนที่ใช้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่และท่าอากาศยานนานาชาติของซาอุดีอาระเบียเมื่อปีที่แล้ว “มีต้นทางมาจากอิหร่าน” ขณะที่ทางการเตหะรานรีบออกมาปฏิเสธทันควัน อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ระบุว่า อาวุธและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องหลายชิ้นที่สหรัฐฯ ยึดได้ในเดือน พ.ย. ปี 2019 และ ก.พ. ปี 2020 “มาจากอิหร่าน” โดยบางชิ้นมีลักษณะตรงกับสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทสัญชาติอิหร่าน และมีอักษรภาษาฟาร์ซีกำกับ ขณะที่บางชิ้นถูกนำเข้าอิหร่านระหว่างเดือน ก.พ. ปี 2016 จนถึง เม.ย. ปี 2018 กูเตียร์เรส ชี้ว่า การจัดส่งอุปกรณ์เหล่านี้อาจละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นปี 2015 ที่รับรองข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับกลุ่มมหาอำนาจ P5+1 คณะทูตอิหร่านประจำยูเอ็นชี้ว่า รายงานฉบับนี้ “ผิดพลาดร้ายแรง และคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง” “รัฐบาลอิหร่านขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อรายงานที่ว่า อิหร่านมีความเกี่ยวข้องกับการส่งออกอาวุธและอุปกรณ์ที่ใช้ในการโจมตีซาอุดีอาระเบีย รวมถึงข้อมูลที่ว่าหลักฐานต่างๆ ที่สหรัฐฯ ยึดได้มีที่มาจากอิหร่าน” สหรัฐฯ เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น 15…

‘ไอบีเอ็ม’ ยุติพัฒนา-จำหน่ายเอไอ ‘จดจำใบหน้า’ ชี้แฝงอคติเหยียดสีผิว

Loading

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า “ไอบีเอ็ม” บริษัทผู้ผลิตและให้บริการคอมพิวเตอร์ระดับโลกประกาศยุติการจัดจำหน่ายและการพัฒนา “เทคโนโลยีจดจำใบหน้า” (facial recognition) ของบริษัท รวมถึงเรียกร้องรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกาหยิบยกเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การอภิปรายอย่างเร่งด่วน เพื่อปฏิรูปกฎหมายควบคุมการใช้งานเทคโนโลยีนี้โดยเจ้าหน้าที่ ให้ปราศจากการเหยียดสีผิวและเป็นธรรมทางเชื้อชาติ โดยนายอาร์วินด์ คริชนา ซีอีโอของไอบีเอ็มได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐสภาสหรัฐระบุว่า บริษัทต้องการทำงานร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อหารือถึงแนวทางด้านกฎหมายในการสร้างความเป็นธรรมและความเหมาะสมในการใช้งานเทคโนโลยีจดจำใบหน้า รวมถึงการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม การตัดสินใจของไอบีเอ็มที่จะยุติธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจดจำใบหน้าครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางการประท้วงที่ยังคงลุกลามบานปลายจากกรณีของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวผิวสีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่งผลให้ประเด็นเรื่องปฏิรูปองค์กรตำรวจของสหรัฐ และการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเชื้อชาติสีผิวกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ ขณะที่ กระแสการวิพากษ์วิจารณ์ต่ออคติที่แฝงอยู่ในเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามีมาโดยตลอด โดยข้อมูลงานวิจัยของ “จอย โบโอแลมวินี” นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ผู้ก่อตั้งสมาคมอัลกอริทึมมิกจัสติซ (Algorithmic Justice League) ระบุว่า เทคโนโลยีดังกล่าวของบางบริษัทแสดงให้เห็นถึงอคติทางเชื้อชาติสีผิวและอคติทางเพศอย่างชัดเจน ซึ่งคนบางกลุ่มเห็นว่า ไม่ควรจำหน่ายเทคโนโลยีนี้ให้กับหน่วยภาครัฐ เพื่อรักษาความปลอดภัยของความเป็นส่วนตัวและสิทธิพลเมือง จดหมายของนายคริชนาระบุว่า “ไอบีเอ็มคัดค้านและไม่ยินยอมให้มีการใช้เทคโนโลยีใด ๆ รวมถึงเทคโนโลยีจดจำใบหน้า เพื่อการสอดแนมประชาชน การเหยียดเชื้อชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยม หลักการความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของเรา เราเชื่อว่าขณะนี้เป็นวาระแห่งชาติที่จะเริ่มอภิปรายในประเด็นว่า ควรใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหรือไม่และอย่างไร” นายคริชนาเข้ารับตำแหน่งซีอีโอของไอบีเอ็มในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบคลาวด์เซอร์วิสของบิรษัทมากขึ้น แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ สำหรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากในสำนักงานด้วย โดยขณะนี้บริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 135,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าธุรกิจเทคโนโลยีจดจำใบหน้าจะไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับไอบีเอ็มมากนัก แต่การตัดสินใจครั้งนี้ก็สร้างความตื่นตัวในประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเชื้อชาติให้กับรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไอบีเอ็ม “ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เป็นเครื่องมืออันทรงพลัง ที่สามารถช่วยให้ผู้บังคับใช้กฎหมายดำเนินการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผู้จำหน่ายและผู้ใช้งานระบบเอไอมีความรับผิดชอบที่จะต้องดำเนินการทดสอบอคติที่แฝงอยู่ในระบบเอไอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประยุกต์ใช้กับการบังคับใช้กฎหมาย…

จีนปรามอังกฤษให้สัญชาติคนฮ่องกงอพยพหนีกม.มั่นคง

Loading

แฟ้มภาพ หญิงชาวฮ่องกงถือพาสปอร์ตอังกฤษระหว่างชุมนุมประท้วงในเขตเซ็นทรัลของฮ่องกงเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 รัฐบาลจีนแถลงไม่พอใจอังกฤษแทรกแซงกิจการภายในโดยลืมไปแล้วว่ามอบฮ่องกงกลับคืนเป็นของจีน เตือนแผนการขยายสิทธิพลเมืองเปิดทางให้สัญชาติชาวฮ่องกงเกือบ 3 ล้านคนนั้นจะเป็นผลร้ายย้อนกลับคืนอังกฤษเอง เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดอมินิก ราบ และนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ เปิดเผยเกี่ยวกับแผนการให้สัญชาติชาวฮ่องกง ที่ต้องการอพยพหนีการออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ที่สภาผู้แทนประชาชนจีนอนุมัติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้กระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงตอบโต้ด้วยความไม่พอใจเมื่อวันพุธ จ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงกล่าวที่กรุงปักกิ่งว่า จีนได้ยื่นหนังสือแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลอังกฤษ เกี่ยวกับคำกล่าวของราบ ซึ่งเป็นการแทรกแซงกิจการของฮ่องกง จีนแนะนำอังกฤษให้ถอยห่างจากปากเหว ล้มเลิกความคิดจิตใจแบบสงครามเย็นและจ้าวอาณานิคมเสีย และยอมรับและเคารพข้อเท็จจริงที่ว่าฮ่องกงกลับคืนสู่จีนแล้ว อังกฤษต้อง “หยุดแทรกแซงกิจการของฮ่องกงและกิจการภายในของจีนทันที มิเช่นนี้สิ่งนี้จะย้อนกลับคืนสู่อังกฤษเองอย่างแน่นอน” ราบกล่าวต่อสภาล่างของอังกฤษว่า เขาได้ทาบทามไปยังรัฐบาลออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สหรัฐ และแคนาดา ซึ่งอยู่ในกลุ่มความร่วมมือด้านข่าวกรอง “ไฟฟ์อายส์” ถึงแผนรองรับหากกฎหมายความมั่นคงมีผลบังคับใช้และทำให้ชาวฮ่องกงจำนวนมากต้องการอพยพ โดยในการพูดคุยเมื่อวันจันทร์เขาเสนอถึงความเป็นไปได้ที่ประเทศเหล่านี้จะแบ่งเบาคลื่นอพยพของชาวฮ่องกง ส่วนนายกฯ จอห์นสัน เขียนคอลัมน์ลงหนังสือพิมพ์เดอะไทมส์และเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ ยืนยันว่าอังกฤษจะไม่ทอดทิ้งชาวฮ่องกง และเขาจะเสนอวีซาให้ชาวฮ่องกงหลายล้านคน ที่อาจเปิดทางสู่การได้สัญชาติอังกฤษต่อไป หากจีนยืนกรานผ่านกฎหมายฉบับนี้ ปัจจุบันมีชาวฮ่องกงถือหนังสือเดินทาง (นอกราชอาณาจักร) ของอังกฤษ หรือ BN(O) ราว 350,000…

หน่วยรบพิเศษ’ฝรั่งเศส’ เด็ดหัวแกนนำ’อัล-กออิดะห์’แอฟริกาเหนือ

Loading

6 มิถุนายน 2563 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน  หน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพฝรั่งเศสซึ่งประจำการอยู่ในภูมิภาคซาเฮล ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อของทะเลทรายซาฮารา สามารถสังหารนายอับเดลมาเล็ก ดรูกเดล ผู้นำกลุ่มมาเกร็บ เครือข่ายของอัล-กออิดะห์ในแอฟริกาเหนือ ในเขตทางเหนือของมาลี ใกล้กับภาคใต้ของแอลจีเรีย พร้อมวิสามัญสมาชิกระดับแกนนำได้อีกหลายคน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น รัฐบาลแอลจีเรียพยายามเจรจาเพื่อสร้างสันติภาพร่วมกับกลุ่มติดอาวุธส่วนใหญ่ในประเทศ ตลอดระยะเวลนานกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้มีกองกำลังหลายกลุ่มยอมวางอาวุธและเข้าร่วมโครงการของรัฐ แต่ดรูกเดลซึ่งข้อมูลข่าวกรองของฝรั่งเศสระบุว่าอายุประมาณ 49 ปี ปฏิเสธให้ความร่วมมือ และหันไปสวามิภักดิ์กับกลุ่มอัล-กออิดะห์ตั้งแต่ปี 2549 ——————————————— ที่มา : แนวหน้า / 6 มิถุนายน 2563 LInk : https://www.naewna.com/inter/497492

‘ทรัมป์’ เตรียมประกาศให้กลุ่มซ้ายสุดโต่ง “แอนติฟา” เป็นกลุ่มก่อการร้าย

Loading

Demonstration in Minneapolis, Minnesota over the death of George Floyd ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความในวันอาทิตย์ ยกย่องกองกำลังสำรองของรัฐ หรือ เนชันแนลการ์ด ว่าทำงานได้อย่าง “ยอดเยี่ยม” ในการตอบสนองต่อการประท้วงที่นครมินนีแอโปลิส ที่กลายไปเป็นความรุนแรงในช่วงหลายคืนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากการใช้กำลังของตำรวจผิวขาวเพื่อจับกุมชาวผิวสี จอร์จ ฟลอยด์ จนนำไปสู่การเสียชีวิตของชายผู้นี้ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังกล่าวหากลุ่มแนวคิดซ้ายสุดโต่ง แอนติฟา (Antifa) ว่าเป็นผู้ปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ พร้อมกระตุ้นให้รัฐที่มีพรรคเดโมแครตเป็นผู้บริหารรัฐบาลส่วนท้องถิ่นให้ดูตัวอย่างการปราบปรามผู้ประท้วงในนครมินนีแอโปลิสเมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลอเมริกันจะประกาศให้กลุ่ม “แอนติฟา” เป็นองค์กรก่อการร้าย ซึ่งเป็นคำกล่าวที่สร้างความกังวลว่ารัฐบาลกำลังพยายามควบคุมการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ซึ่งขัดกับบทบัญญัติที่ 1 ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กลุ่มแอนติฟา (Antifa) ซึ่งหมายถึงกลุ่มต่อต้านระบอบปกครองฟาสซิสต์ เป็นการรวมตัวของผู้ประท้วงรัฐบาล นักรณรงค์ฝ่ายซ้าย และผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตย ซึ่งล้วนต่อต้านแนวคิดขวาจัดด้วยความรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลทรัมป์มักกล่าวโจมตีกลุ่มนี้ว่าอยู่เบื้องหลังการประท้วงต่าง ๆ ในวันอาทิตย์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ วิลเลียม บาร์ มีแถลงการณ์ว่า กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ…