ศาลผู้ดีเผย เจ้าผู้ครองดูไบใช้สปายแวร์ดักฟังมือถืออดีตชายา

Loading

  ศาลผู้ดีเผย เจ้าผู้ครองดูไบใช้สปายแวร์ดักฟังมือถืออดีตชายา ศาลสูงของอังกฤษพบข้อมูลว่า ชีคมูฮัมหมัด บิน รอชิด อัล มักตูม เจ้าผู้ครองนครดูไบ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสหรัฐอาหรับเอ็มเรตส์ (ยูเออี) คนปัจจุบัน ได้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของอังกฤษ ด้วยการแฮกข้อมูลจากโทรศัพท์ของเจ้าหญิงฮายาแห่งจอร์แดน ซึ่งเป็นอดีตพระชายาของพระองค์ รวมถึงทนายความและทีมงานของเจ้าหญิง ศาลระบุว่าการสั่งให้มีการแฮกข้อมูลดังกล่าวทำขึ้นโดยใช้ซอฟต์แวร์ “เพกาซัส” ซึ่งเป็นของบริษัทอิสราเอลที่ยูเออีมีอยู่ในความครอบครอง โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวมีความสามารถทั้งในการติดตามตัวเป้าหมาย ดักฟังการพูดคุยทางโทรศัพท์ เข้าถึงรายชื่อที่มีการติดต่อ พาสเวิร์ดต่างๆ ตารางนัดหมาย รูปภาพ รวมถึงการอ่านข้อความที่มีการส่งผ่านทางแอพ อีเมล หรือเอสเอ็มเอส ผู้พิพากษาแอนดรู แมคฟาร์เลน ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลครอบครัวของอังกฤษระบุว่า การค้นพบข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการละเมิดความเชื่อถือและเป็นการละเมิดอำนาจ ซึ่งถือเป็นการล่วงละเมิดอย่างต่อเนื่องที่ผิดกฎหมายอาญาของอังกฤษ และไม่มีเวลาใดเลยที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่เป็นบิดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับมารดาซึ่งเป็นผู้ดูแลบุตรทั้งสองของพวกเขา แต่การแทรกซึมระบบรักษาความปลอดภัยและการแฮกข้อมูลที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความพยายามที่จะหาข้อมูลมาแย้งกับการต่อสู้คดีในศาลจากมุมของผู้เป็นมารดาเท่านั้น เจ้าหญิงฮายาเผยว่า การค้นพบดังกล่าวทำให้พระองค์รู้สึกเหมือนถูกตามล่าและตามหลอกหลอน ขณะที่ทีมทนายของเจ้าหญิงระบุว่า การแฮกข้อมูลมีขึ้นในช่วงเวลาที่เขาติดต่อกับหน่วยราชการอังกฤษ ด้านชีคมูฮัมหมัดออกแถลงการณ์โต้แย้งคำพิพากษาว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ โดยพระองค์ปฏิเสธข้อกล่าวหาใดๆ ที่มีต่อตัวพระองค์เช่นที่ทำมาตลอด พร้อมกับปฏิเสธว่าพระองค์ไม่ได้สั่งการให้ใครใช้ซอฟต์แวร์ใดๆ ในแนวทางดังกล่าว และทีมกฎหมายของพระองค์ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะมาโต้แย้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความมั่นคงของประเทศยูเออี และว่าพระองค์ไม่เคยได้รับทราบในรายละเอียดของสิ่งที่นำมาอ้างเป็นหลักฐาน ดังนั้นวิธีในการพิจารณาคดีจึงอยู่บนพื้นฐานที่ปราศจากความยุติธรรม ทั้งนี้ชีคมูฮัมหมัดและเจ้าหญิงฮายา ได้ต่อสู้กันในศาลเกี่ยวกับสิทธิในการดูแลบุตร 2 คนของทั้งคู่ หลังเจ้าหญิงฮายาหอบลูกหนีอดีตพระสวามีจากยูเออีมายังอังกฤษเมื่อหลายปีก่อน   —————————————————————————————————————————————————-…

สนามบินดูไบเริ่มใช้วิธี ‘ตรวจม่านตา’ แทนหนังสือเดินทาง

Loading

    ที่สนามบินดูไบ ผู้โดยสารสามารถใช้ม่านตาเพื่อยืนยันตัวตนโดยไม่จำเป็นต้องแสดงเอกสารใดๆ ระบบดังกล่าวเปิดตัวขึ้นในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งรัฐบาลยกให้โครงการนี้เป็นเครื่องมือในการช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เพราะวิธีดังกล่าวช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ระบบสแกนม่านตานี้ใช้ biometric หรือชีวมิติ ซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลเพื่อระบุตัวตน ทั้งนี้ระบบจดจำใบหน้าก็เป็นการใช้ไบโอเมตริกรูปแบบหนึ่ง ระบบดังกล่าวใช้วิธีการคล้ายกับที่ใช้ในเทคโนโลยีการพิมพ์ลายนิ้วมือ สนามบินดูไบใช้อุปกรณ์ในการสแกนม่านตาซึ่งเป็นส่วนที่มีสีของดวงตา โดยการให้ผู้โดยสารมองตรงเข้าไปในกล้องเพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพได้ การใช้ระบบสแกนม่านตานั้นแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำของเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ไบโอเมตริกของม่านตาถือว่าเป็นระบบที่เชื่อถือได้มากกว่าระบบที่สแกนใบหน้าของผู้คนจากระยะไกล ในสนามบินดูไบซึ่งเป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลกสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ผู้โดยสารจะเดินเข้าเครื่องสแกนม่านตาหลังจากเช็คอินแล้ว หลังจากที่มองเข้าไปในกล้องพวกเขาก็จะสามารถผ่านจุดตรวจหนังสือเดินทางได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยที่ไม่ต้องพกบัตรเดินทางกระดาษหรือใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ เจ้าหน้าที่ในดูไบกล่าวว่าการสแกนดังกล่าวนี้จะเชื่อมต่อข้อมูลม่านตาของบุคคลกับฐานข้อมูลการจดจำใบหน้าของ UAE ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องใช้เอกสารในการเดินทาง ระบบนี้เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทสายการบิน Emirates และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของดูไบ เจ้าหน้าที่กล่าวอีกว่าระบบจะช่วยให้ผู้โดยสารผ่านกระบวนการอัตโนมัติตั้งแต่การเช็คอินไปจนถึงการขึ้นเครื่องบินได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย พลตรี Obaid Mehayer Bin Suroor รองอธิบดีกองอำนวยการทั่วไปด้านถิ่นที่อยู่และกิจการต่างประเทศของดูไบบอกกับ The Associated Press ว่าการสแกนม่านตานี้เป็นระบบอัจฉริยะที่ใช้เวลาเพียงห้าถึงหกวินาที อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังหวั่นเกรงว่าเทคโนโลยีนี้จะทำให้สูญเสียความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกันกับระบบจดจำใบหน้า ทั้งนี้ UAE ได้เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการสอดส่องนักข่าวและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ในคำชี้แจงสิทธิส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบไบโอเมตริก Emirates ระบุไว้ว่าทางสายการบินเชื่อมโยงใบหน้าของผู้โดยสารกับข้อมูลระบุตัวบุคคลอื่นๆ รวมถึงหนังสือเดินทางและข้อมูลเที่ยวบิน นอกจากนี้ยังเสริมว่าข้อมูลดังกล่าวสามารถเก็บไว้ได้ตราบเท่าที่มีความจำเป็นตามสมควรสำหรับวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของ Emirates ยังระบุด้วยว่าข้อมูลไบโอเมตริกที่รวบรวมทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในสารบบ…