นักวิจัยพบวิธีแฮ็กสมองแมลงวัน และสั่งให้มันกางปีกผ่านรีโมตระยะไกล

Loading

  คงประหลาดไม่น้อยถ้าวันนึงมนุษย์สามารถเข้าไปในสมองแมว แล้วสั่งให้มันเห่าโฮ่งได้ แต่เรื่องดังกล่าวอาจไม่เพ้อเจ้อไปนัก เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยไรซ์ ในเท็กซัส สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการแฮ็กเข้าไปในสมองของแมลงวันและควบคุมการขยับของปีกพวกมันได้แล้ว ทีมนักวิจัยที่รวมตัวกันด้วยนักวิศวะพันธุกรรมศาสตร์ , นักวิศวะไฟฟ้า และนักพัฒนานาโนเทคโนโลยี ได้ตีพิมพ์งานร่วมกันลงในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature Materials ระบุว่า พวกเขาประสบความสำเร็จในการทดลองฝังยีนส์ที่กระตุ้นความร้อนในสมองแมลงวัน และเมื่อกดหนึ่งคลิ๊กผ่านรีโมตระยะไกล จะบังคับให้แมลงวันกางปีกได้ตามสั่ง คล้ายเวลายกมือให้สุนัขสวัสดีนั่นแหละ ทีมนักวิจัยเชื่อว่า นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนในการศึกษาการทำงานของสมองมนุษย์ และอาจนำไปสู่การรักษาโรคทางระบบประสาท หรือคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถทำงานกับสมองของมนุษย์ได้โดยตรง “วงการวิทยาศาสตร์พยายามที่จะหาเครื่องมือที่ทั้งแม่นยำและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด เพื่อศึกษาสมองและรักษาความผิดปกติทางระบบประสาทของมนุษย์” จาคอบ โรบินสัน หนึ่งในนักวิจัยในโครงการดังกล่าวและหนึ่งในทีมวิจัยในโครงการศึกษาการสื่อสารระหว่างสมองของมนุษย์ DARPA ที่ได้รับทุนจากกองทัพสหรัฐฯ กล่าว จาคอบเปรียบผลงานของทีมเขากับ “จอกศักดิ์สิทธิ์” สำหรับวงการเทคโนโลยีทางระบบประสาท “ความสำเร็จของพวกเราเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีทางระบบประสาท เพราะคำสั่งจากรีโมตรวดเร็วเกือบเท่ากับความเร็วโดยธรรมชาติของสมอง” สำหรับอีกโปรเจคท์ที่จาคอบทำร่วมกับ DARPA มีชื่อว่า MOANA ซึ่งกำลังพัฒนาเฮดโฟนที่เมื่อสวมแล้วคนสองคนสามารถรับรู้ความคิดได้กันได้ในทันที คล้ายๆ ทักษะการอ่านใจของจีน เกรย์ ในภาพยนต์เรื่องเอ็กซ์เมน อย่างไรก็ตาม จาคอบยอมรับว่าพวกเขายังห่างไกลจากจุดที่ต้องการไปถึงมากนัก “เพื่อไปถึงจุดที่สมองของมนุษย์เราทำงาน พวกเราอาจต้องลดช่องว่างในการสื่อสารให้เหลือเพียงไม่กี่ 0.01 วินาที” อ้างอิง: https://futurism.com/scientists-fruit-fly-brains-remote-control https://www.nature.com/articles/s41563-022-01281-7…

นักวิจัยจากจีนต้องการให้จีนคิดค้นวิธีการรับมือกับดาวเทียม Starlink

Loading

  นักวิจัยทางทหารของจีนมีความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากดาวเทียม Starlink ของ Space X และได้เรียกร้องให้ประเทศจีนพัฒนาแนวทางที่จะทำลายหรือหยุดการทำงานดาวเทียมเหล่านี้ วารสาร Modern Defence Technology ของจีนได้ตีพิมพ์งานวิจัยเมื่อเดือนก่อนซึ่งเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากดาวเทียม Starlink โดยเป็นงานวิจัยที่นำโดย เริ่นหย่วนเจิน (任远桢) นักวิจัยของสถาบัน Beijing Institute of Tracking and Telecommunications ซึ่งร่วมวิจัยและเขียนโดยนักวิทยาศาสตร์ในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของจีนอีกหลายคน หนึ่งในเนื้อความภายในงานวิจัยระบุว่า “ในขณะที่ [Starlink] กำลังเฟื่องฟูและมีศักยภาพในการใช้งานมหาศาล มันกลับมาพร้อมความอันตรายที่ซ่อนอยู่และเป็นความท้าทายของประเทศของเรา การรวมกันระหว่างวิธีการจัดการแบบอ่อนโยน (soft kill method) และรุนแรง (hard kill method) ควรนำมาใช้เพื่อให้ดาวเทียม Starlink สูญเสียฟังก์ชันการทำงานและทำให้ระบบปฏิบัติการของโครงข่ายถูกทำลาย”     ศักยภาพของ Starlink ที่ถูกมองว่าน่ากลัวต่อการทหารนั้น ได้แก่ การเพิ่มความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลของโดรนและเครื่องบินขับไล่ล่องหนอีกกว่า 100 เท่า , ความสามารถในการเชื่อมต่อกับกำลังทหารในสงครามแบบออนไลน์ , การจัดการกับเป้าหมายในอวกาศด้วยเครื่องขับดันไอออน และการบรรทุกสัมภาระทางทหาร SpaceX…

นักวิจัยสหรัฐขโมยข้อมูล ‘การแพทย์’ ไปขายที่จีน

Loading

  สมคบคิดกันก่อเหตุขโมยความลับทางการค้าเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน การป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์นั้น ต้องป้องกันทั้งภัยคุกคามที่มาจากภายนอกและภัยคุกคามที่เกิดขึ้นภายใน ท่านคงเคยอ่านบทความของผมที่กล่าวถึง “ภัยคุกคามจากภายใน (Insider Threat)” ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดจากบุคคลในองค์กรเอง บางครั้งเกิดจากความไม่ตั้งใจ เช่น ความผิดพลาดของการใช้ซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ฯลฯ แต่ในบางครั้งก็เกิดจากความประสงค์ร้ายจากบุคคลที่แฝงตัวมาในองค์กร บทความนี้ผมมีตัวอย่างของ Insider Threat ที่เกิดจากความตั้งใจมาเล่าให้ท่านฟังครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่สหรัฐฯ ซึ่งผู้ก่อเหตุเป็นนักวิจัยในโรงพยาบาลเด็กที่สหรัฐฯ ได้รับสารภาพว่า สมคบคิดก่อเหตุขโมยความลับทางการค้าด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับถุงที่ส่งออกภายนอกเซลล์ (Exosomes) ของสถาบันวิจัยโรงพยาบาลเด็กทั่วประเทศเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินของเธอเอง โดยเธอถูกตัดสินจําคุก 30 เดือน โดยศาลแขวงสหรัฐฯ นักวิจัยคนนี้ทํางานในห้องปฏิบัติการวิจัยทางการแพทย์ที่สถาบันวิจัยตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2017 ส่วนสามีของเธอที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดนั้นทำงานที่สถาบันวิจัยตั้งแต่ปี 2008 จนถึง 2018 สองสามีภรรยาร่วมกันสมคบคิดในการขโมยและสร้างรายได้จากการวิจัย Exosomes ซึ่งเป็นการวิจัยที่มีบทบาทสําคัญในการระบุและรักษาอาการต่างๆ เช่น พังผืดในตับ มะเร็งตับ และลําไส้อักเสบ ซึ่งจะพบได้ในทารกที่คลอดก่อนกําหนด เอกสารจากศาลระบุว่า หลังจากขโมยความลับทางการค้านักวิจัยรายนี้สร้างรายได้ให้ตนเองผ่านการสร้างและขายชุดแยก Exosomes ผ่านบริษัทของเธอที่ประเทศจีน โดยเอฟบีไอกล่าวว่า การลงโทษนักวิจัยรายนี้จะช่วยให้สามารถยับยั้งผู้ประสงค์ร้ายที่ต้องการก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน โดยเอฟบีไอจะทํางานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรเพื่อให้แน่ใจว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นําระดับโลกด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี Insider…