สหรัฐเตรียมทดสอบอาวุธเลเซอร์ที่ทรงพลังที่สุด

Loading

  ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์เพื่อยิงโดรนขนาดเล็ก แต่อาวุธเลเซอร์ที่ทรงพลังกว่าสามารถโจมตีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าได้ บริษัท General Atomics Electromagnetic Systems และทีม Boeing ได้รับสัญญาว่าจ้างจากสำนักงานความสามารถพิเศษและเทคโนโลยีที่สำคัญของกองทัพสหรัฐ (RCCTO) เพื่อพัฒนาอาวุธเลเซอร์พลังงานสูงระดับ 300 กิโลวัตต์ การส่งมอบจะเป็นและเตรียมที่จะทำการทดสอบในปีหน้า “ต้นแบบอาวุธเลเซอร์แบบกระทัดรัดพลังสูงกำลังสูงที่ GA-EMS จะส่งมอบภายใต้สัญญานี้จะมีสมรรถภาพที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในปัจจุบัน” สกอตต์ ฟอร์นีย์ ประธานของ GA-EMS กล่าว “เทคโนโลยีนี้แสดงถึงความสามารถแบบก้าวกระโดดสำหรับการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธ ซึ่งจำเป็นต่อการสนับสนุนความพยายามในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ของกองทัพบก และเอาชนะภัยคุกคามรุ่นต่อไปในพื้นที่ต่อสู้แบบหลายภาคส่วน” ปัจจุบัน กองทัพเรือสหรัฐได้ติดตั้งอาวุธเลเซอร์พลังงานสูงตัวแรกที่รู้จักกันในชื่อ LaWS บนเรือรบ USS Ponce ในปี 2014 โดยมีกำลัง 30 กิโลวัตต์ เลเซอร์ทางทหารส่วนใหญ่มักจะอยู่ในช่วง 30 ถึง 100 กิโลวัตต์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการยิงโดรนขนาดเล็กลง แต่พลังที่สูวขึ้นจากสามารยิงขปนาวุธได้ ทั้งแบบขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธทิ้งตัว New Scientist รายงานว่า โดยทั่วไปแล้วอาวุธดังกล่าวจะใช้เลเซอร์ไฟเบอร์อุตสาหกรรมหลายตัว โดยที่เอาต์พุตจะรวมกันเป็นลำแสงเดียว อาวุธใหม่นี้ใช้แผ่นกระจกขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันเป็นชุดแทน…

สถิติเหี้ยม! สงครามอินโดจีน ลาวเผยอเมริกาทิ้งระเบิดกว่า 2 ล้านตันใส่ประเทศ

Loading

    MGR Online – ทางการลาวเปิดสถิติอันโหดเหี้ยมช่วงสงครามอินโดจีน ระบุชัด กองทัพอเมริกานำระเบิดมาทิ้งในดินแดนลาวกว่า 5.8 แสนเที่ยว หนักรวมกว่า 2 ล้านตัน เฉลี่ยทุก 8 นาที มีระเบิดตก 1 ครั้ง ติดต่อกัน 9 ปีเต็ม วานนี้ (28 ต.ค.) โจมแยง แพงทองสะหวัด หัวหน้าสำนักงาน คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาระเบิดบ่ทันแตก (ระเบิดตกค้าง) อยู่ในลาว รายงานต่อหน้าแขกจำนวนมากที่ได้รับเชิญมาร่วมพิธีส่งมอบระเบิดตกค้างและสรรพาวุธที่ปลดชนวนแล้ว ให้แก่กระทรวงป้องกันประเทศ “ลาวเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดหนักที่สุดในโลก เมื่อเฉลี่ยต่อจำนวนประชากร ในช่วงสงครามอินโดจีน ระหว่างปี 1964 ถึง 1973 (พ.ศ.2507-2516) ลาวกลายเป็นสมรภูมิสู้รบที่ร้ายแรง ทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศ จักรวรรดิอเมริกาได้นำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่ดินแดนของลาวถึง 580,000 เที่ยว มีการทิ้งระเบิด 1 เที่ยว เฉลี่ยทุก 8 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง…

“เดลตา แอร์ไลน์” ทดสอบระบบจำใบหน้าลดขั้นตอนตรวจสอบ-ประหยัดเวลา

Loading

    สายการบินเดลตา แอร์ไลน์ของสหรัฐฯ เริ่มทดสอบการใช้งานระบบจดจำใบหน้าของผู้โดยสาร ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบและประหยัดเวลามากขึ้น 29 ต.ค.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้โดยสารที่ต้องการเข้าร่วมการทดสอบจะต้องบันทึกข้อมูลในแอปพลิเคชันของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ และต้องลงทะเบียนกับสำนักงานความมั่นคงด้านการคมนาคม หรือ ทีเอสเอ     ซึ่งผู้โดยสารที่ใช้งานระบบจดจำใบหน้าจะต้องนำสัมภาระไปเช็คอินและโหลดลงสายพานด้วยตัวเอง จากนั้นสามารถเดินขึ้นเครื่องบินได้ ด้วยการสแกนใบหน้า เบื้องต้น การทดสอบระบบดังกล่าวจะเริ่มที่เมืองแอตแลนตา จากนั้นจะขยายไปที่เมืองดีทรอยต์     ผู้อำนวยการสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ กล่าวว่า แนวคิดที่จะใช้ระบบจดจำใบหน้ากับผู้โดยสารมีขึ้นก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่เมื่อเกิดการระบาดขึ้น     จำนวนผู้โดยสารลดลงอย่างมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสดี ที่จะใช้เวลาในช่วงดังกล่าวสร้างระบบและทดสอบการใช้งาน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารยังมีไม่มาก เท่ากับว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งที่ทำให้แนวคิดนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่วางแผนไว้ ที่มา : AP   —————————————————————————————————- ที่มา : ThaiPBS            / วันที่เผยแพร่ 29 ต.ค.2564 Link…

สหรัฐออกหนังสือเดินทางเล่มแรก ใช้เครื่องหมาย “กากบาท” ไม่ระบุเพศ

Loading

  สหรัฐออกหนังสือเดินทางเล่มแรก – วันที่ 28 ต.ค. บีบีซี รายงานว่า สหรัฐอเมริกาออกหนังสือเดินทางไม่ระบุเพศเป็นเล่มแรกของประเทศ โดยใช้เครื่องหมายกากบาท (X) ในช่องระบุเพศ ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางไม่ได้ระบุว่าเป็นเพศชายหรือหญิง   หนังสือเดินทางเล่มดังกล่าวออกแก่ ดานา ซิม Dana Zzyym อายุ 66 ปี ทหารผ่านศึกกองทัพเรือสหรัฐ และระบุว่าตัวเองเป็นนอน-ไบนารี (non-binary) ซึ่งหมายถึงผู้ไม่เห็นว่าเพศของตัวเองจำกัดอยู่กับเฉพาะกับเพศชายและเพศหญิง   ดานา ซิม เคยยื่นฟ้องกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เมื่อปี 2558 เพื่อคัดค้านการถูกปฏิเสธการออกหนังสือเดินทาง หลังเจ้าตัวไม่ได้ระบุเพศชายหรือเพศหญิงในเอกสารขอทำหนังสือเดินทาง ดานา ซิม กล่าวหลังได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่ว่า เป็นช่วงเวลาน่าตื่นเต้น ตนจะไปทุกที่และพูดว่า “ใช่ นี่คือตัวตนของฉัน” และว่า ก่อนได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่ เป็นความรู้สึกมเหมือนอยู่ในคุก   “คุณถูกปฏิเสธสถานะการเป็นมนุษย์ และมันเหมือนกับว่าฉันไม่ใช่พลเมืองของประเทศนี้ เพราะฉันถูกปฏิเสธการเข้าถึง และไม่อนุญาตให้เฉพาะคนร้ายและนักโทษเดินทาง” ดานา ซิม กล่าว   ทั้งนี้…

สหรัฐยื่นอุทธรณ์ศาลอังกฤษ ขอตัวผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ไปดำเนินคดีในศาลสหรัฐ

Loading

  ทนายสหรัฐยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลอังกฤษ เรียกร้องให้มีคำสั่งส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัว จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าววิกิลีกส์ไปดำเนินคดีที่สหรัฐ ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนอัสซานจ์ออกโรงประท้วงกลางกรุงลอนดอน   ทนายความตัวแทนของสหรัฐ ส่งคำร้องเมื่อวานนี้ (27 ต.ค.) ให้อังกฤษส่งตัว จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ (Wikileaks) เว็บไซต์ข่าวเอกชนที่แฉข้อมูลลับทางการทหารและข้อมูลเรื่องการทุจริตในหลายประเทศ ไปยังสหรัฐเพื่อรับการดำเนินคดี หลังจากที่ศาลชั้นต้นของอังกฤษไม่อนุญาต จูเลียน อัสซานจ์ ในวัย 50 ปี เป็นที่ต้องการตัวในสหรัฐอเมริกาในข้อหาทางอาญา 18 คดี ซึ่งรวมถึงการละเมิดกฎหมายการสอดแนม หลังจากที่ทีมงานของเขาเผยแพร่เอกสารลับและบันทึกลับของบุคลากรทางการทูตเป็นจำนวนมากในปี 2553   ทนายความเจมส์ ลูอิส ซึ่งทำหน้าที่แทนรัฐบาลสหรัฐ แถลงต่อศาลอุทธรณ์ในลอนดอน ว่าผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของอังกฤษพลาดที่ตัดสินว่า ไม่สามารถส่งตัวอัสซานจ์ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้ เนื่องจากมีแนวโน้มที่เขาจะฆ่าตัวตายในเรือนจำของสหรัฐ ลูอิส โต้แย้งว่า ไม่ควรนำความวิตกเกี่ยวกับสุขภาพจิตของผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์มาเป็นข้ออ้างในการละเว้นการส่งตัว ในเอกสารสรุปข้อโต้แย้งของลูอิส ซึ่งนำเสนอต่อศาลและเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ระบุว่า สหรัฐได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือสิ่งที่เป็นข้อกังวลของศาลอังกฤษ และให้การรับรองด้วยว่า สหรัฐจะยินยอมให้อัสซานจ์ย้ายไปรับโทษจำคุกที่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา   อัสซานจ์ซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ถูกคุมขังที่เรือนจำบัลมาร์ชในลอนดอน แต่เดิมเขาแจ้งต่อศาลว่าป่วยจนให้การไม่ไหว แต่ก็กลับมาให้การผ่านระบบวิดีโอคอลได้ในภายหลัง…

หน่วยข่าวกรองเตือน ‘ไอเอส’ ในอัฟกานิสถานอาจโจมตีสหรัฐฯ ได้ภายใน 6 เดือน

Loading

  ประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่ากลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามโคราซาน (IS-K) ซึ่งเป็นสาขาย่อยของไอเอสในอัฟกานิสถาน อาจมีศักยภาพเพียงพอที่จะลงมือโจมตีอเมริกาได้อย่างเร็วที่สุดภายใน 6 เดือน และเชื่อว่ามีเจตนาที่จะทำเช่นนั้นด้วย คอลิน คาห์ล ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายนโยบาย แจ้งการประเมินของหน่วยข่าวกรองให้สภาคองเกรสรับทราบวานนี้ (26 ต.ค.) ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนล่าสุดว่าอัฟกานิสถานยังคงเป็นภัยความมั่นคงต่อสหรัฐฯ อยู่ แม้ว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะนำกองทัพอเมริกันถอนตัวออกจากสงครามที่ยืดเยื้อมานานถึง 20 ปีเมื่อเดือน ส.ค.ก็ตาม   หลังจากที่ตอลิบานซึ่งเป็นฝ่าย “ชนะ” สงครามเข้าควบคุมอำนาจบริหารในอัฟกานิสถาน เริ่มเห็นได้ชัดว่าไอเอสมีความพยายามที่จะก่อเหตุรุนแรงเพื่อสร้างอิทธิพลแข่งขันกับรัฐบาลตอลิบาน ไม่ว่าจะเป็นเหตุระเบิดฆ่าตัวตายถล่มมัสยิดของชาวชีอะห์ รวมไปถึงการฆ่าตัดหัวนักรบตอลิบานในเมืองจาลาลาบัด (Jalalabad) ทางตะวันออกของประเทศ คาห์ล บอกกับคณะกรรมการกิจการกองทัพแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า ยังไม่แน่ชัดว่ารัฐบาลตอลิบานจะมีศักยภาพพอที่จะสู้กับพวกไอเอสได้หรือไม่หลังจากที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกมาแล้ว โดยที่ผ่านมานั้น ทหารอเมริกันได้ทำสงครามทั้งกับฝ่ายตอลิบาน รวมไปถึงกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ เช่น ไอเอส และอัลกออิดะห์   “ตามการวิเคราะห์ของเรา ตอลิบานและ IS-K เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน ดังนั้น ตอลิบานจึงมีแรงจูงใจที่จะตามไล่ล่าพวก IS-K แต่ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้นยังต้องรอดู” คาห์ล…