สหรัฐอเมริกา ขึ้นบัญชีดำบริษัทสปายแวร์ NSO Group

Loading

  สหรัฐอเมริกา ตัดสินใจแบนบริษัทด้านความมั่นคงปลอดภัยจากประเทศอิสราเอลอย่าง NSO Group เนื่องจากกระทบกับความมั่นคงและนโยบายหลักของประเทศ NSO Group บริษัทด้านความมั่นคงทางไซเบอร์จากประเทศอิสราเอล กลายเป็นบริษัทล่าสุดที่ถูกขึ้นบัญชีดำในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน การตัดสินใจแบน NSO Group ภายใต้รัฐบาลของโจ ไบเดน เป็นเพราะว่า บริษัทดังกล่าวจากประเทศอิสราเอลได้ขัดกับนโยบายต่างประเทศและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือได้ว่า เป็นนโยบายหลักด้านการต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ และสหรัฐฯ ต้องการปราบปรามซอฟต์แวร์ที่ละเมิดสิทธิดังกล่าว ก่อนหน้านี้ เราเคยได้ยินการพูดถึงบริษัท NSO Group มาครั้งหนึ่งแล้ว เนื่องจากซอฟต์แวร์ของพวกเขาที่มีชื่อว่า Pegasus ได้เป็นสปายแวร์ โดยมีความพยายามแฮกข้อมูลจากมือถือ ซึ่งเป็นมือถือของนักข่าว นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน รวมถึงทนายความทั่วโลก Forbidden Stories องค์กรสื่อไม่แสวงหาผลกำไร เปิดเผยว่า การทำงานของซอฟต์แวร์ Pegasus เมื่อถูกติดตั้งไปที่มือถือของเหยื่อ จะทำการดึงข้อความ รูปภาพ อีเมล บันทึกการโทร รวมถึงการเรียกเปิดไมโครโฟนอย่างลับๆ จากการตรวจสอบพบอีกว่า เป้าหมายที่อาจถูกสปายแวร์ Pegasus หวังลักลอบเก็บข้อมูลมีจำนวนมากกว่า 5 หมื่นคน เป็นนักข่าวประมาณ 180…

สหรัฐเตรียมทดสอบอาวุธเลเซอร์ที่ทรงพลังที่สุด

Loading

  ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์เพื่อยิงโดรนขนาดเล็ก แต่อาวุธเลเซอร์ที่ทรงพลังกว่าสามารถโจมตีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าได้ บริษัท General Atomics Electromagnetic Systems และทีม Boeing ได้รับสัญญาว่าจ้างจากสำนักงานความสามารถพิเศษและเทคโนโลยีที่สำคัญของกองทัพสหรัฐ (RCCTO) เพื่อพัฒนาอาวุธเลเซอร์พลังงานสูงระดับ 300 กิโลวัตต์ การส่งมอบจะเป็นและเตรียมที่จะทำการทดสอบในปีหน้า “ต้นแบบอาวุธเลเซอร์แบบกระทัดรัดพลังสูงกำลังสูงที่ GA-EMS จะส่งมอบภายใต้สัญญานี้จะมีสมรรถภาพที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในปัจจุบัน” สกอตต์ ฟอร์นีย์ ประธานของ GA-EMS กล่าว “เทคโนโลยีนี้แสดงถึงความสามารถแบบก้าวกระโดดสำหรับการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธ ซึ่งจำเป็นต่อการสนับสนุนความพยายามในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ของกองทัพบก และเอาชนะภัยคุกคามรุ่นต่อไปในพื้นที่ต่อสู้แบบหลายภาคส่วน” ปัจจุบัน กองทัพเรือสหรัฐได้ติดตั้งอาวุธเลเซอร์พลังงานสูงตัวแรกที่รู้จักกันในชื่อ LaWS บนเรือรบ USS Ponce ในปี 2014 โดยมีกำลัง 30 กิโลวัตต์ เลเซอร์ทางทหารส่วนใหญ่มักจะอยู่ในช่วง 30 ถึง 100 กิโลวัตต์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการยิงโดรนขนาดเล็กลง แต่พลังที่สูวขึ้นจากสามารยิงขปนาวุธได้ ทั้งแบบขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธทิ้งตัว New Scientist รายงานว่า โดยทั่วไปแล้วอาวุธดังกล่าวจะใช้เลเซอร์ไฟเบอร์อุตสาหกรรมหลายตัว โดยที่เอาต์พุตจะรวมกันเป็นลำแสงเดียว อาวุธใหม่นี้ใช้แผ่นกระจกขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันเป็นชุดแทน…

สถิติเหี้ยม! สงครามอินโดจีน ลาวเผยอเมริกาทิ้งระเบิดกว่า 2 ล้านตันใส่ประเทศ

Loading

    MGR Online – ทางการลาวเปิดสถิติอันโหดเหี้ยมช่วงสงครามอินโดจีน ระบุชัด กองทัพอเมริกานำระเบิดมาทิ้งในดินแดนลาวกว่า 5.8 แสนเที่ยว หนักรวมกว่า 2 ล้านตัน เฉลี่ยทุก 8 นาที มีระเบิดตก 1 ครั้ง ติดต่อกัน 9 ปีเต็ม วานนี้ (28 ต.ค.) โจมแยง แพงทองสะหวัด หัวหน้าสำนักงาน คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาระเบิดบ่ทันแตก (ระเบิดตกค้าง) อยู่ในลาว รายงานต่อหน้าแขกจำนวนมากที่ได้รับเชิญมาร่วมพิธีส่งมอบระเบิดตกค้างและสรรพาวุธที่ปลดชนวนแล้ว ให้แก่กระทรวงป้องกันประเทศ “ลาวเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดหนักที่สุดในโลก เมื่อเฉลี่ยต่อจำนวนประชากร ในช่วงสงครามอินโดจีน ระหว่างปี 1964 ถึง 1973 (พ.ศ.2507-2516) ลาวกลายเป็นสมรภูมิสู้รบที่ร้ายแรง ทั้งทางภาคพื้นดินและทางอากาศ จักรวรรดิอเมริกาได้นำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่ดินแดนของลาวถึง 580,000 เที่ยว มีการทิ้งระเบิด 1 เที่ยว เฉลี่ยทุก 8 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง…

“เดลตา แอร์ไลน์” ทดสอบระบบจำใบหน้าลดขั้นตอนตรวจสอบ-ประหยัดเวลา

Loading

    สายการบินเดลตา แอร์ไลน์ของสหรัฐฯ เริ่มทดสอบการใช้งานระบบจดจำใบหน้าของผู้โดยสาร ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบและประหยัดเวลามากขึ้น 29 ต.ค.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้โดยสารที่ต้องการเข้าร่วมการทดสอบจะต้องบันทึกข้อมูลในแอปพลิเคชันของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ และต้องลงทะเบียนกับสำนักงานความมั่นคงด้านการคมนาคม หรือ ทีเอสเอ     ซึ่งผู้โดยสารที่ใช้งานระบบจดจำใบหน้าจะต้องนำสัมภาระไปเช็คอินและโหลดลงสายพานด้วยตัวเอง จากนั้นสามารถเดินขึ้นเครื่องบินได้ ด้วยการสแกนใบหน้า เบื้องต้น การทดสอบระบบดังกล่าวจะเริ่มที่เมืองแอตแลนตา จากนั้นจะขยายไปที่เมืองดีทรอยต์     ผู้อำนวยการสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ กล่าวว่า แนวคิดที่จะใช้ระบบจดจำใบหน้ากับผู้โดยสารมีขึ้นก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่เมื่อเกิดการระบาดขึ้น     จำนวนผู้โดยสารลดลงอย่างมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสดี ที่จะใช้เวลาในช่วงดังกล่าวสร้างระบบและทดสอบการใช้งาน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารยังมีไม่มาก เท่ากับว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งที่ทำให้แนวคิดนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่วางแผนไว้ ที่มา : AP   —————————————————————————————————- ที่มา : ThaiPBS            / วันที่เผยแพร่ 29 ต.ค.2564 Link…

สหรัฐออกหนังสือเดินทางเล่มแรก ใช้เครื่องหมาย “กากบาท” ไม่ระบุเพศ

Loading

  สหรัฐออกหนังสือเดินทางเล่มแรก – วันที่ 28 ต.ค. บีบีซี รายงานว่า สหรัฐอเมริกาออกหนังสือเดินทางไม่ระบุเพศเป็นเล่มแรกของประเทศ โดยใช้เครื่องหมายกากบาท (X) ในช่องระบุเพศ ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางไม่ได้ระบุว่าเป็นเพศชายหรือหญิง   หนังสือเดินทางเล่มดังกล่าวออกแก่ ดานา ซิม Dana Zzyym อายุ 66 ปี ทหารผ่านศึกกองทัพเรือสหรัฐ และระบุว่าตัวเองเป็นนอน-ไบนารี (non-binary) ซึ่งหมายถึงผู้ไม่เห็นว่าเพศของตัวเองจำกัดอยู่กับเฉพาะกับเพศชายและเพศหญิง   ดานา ซิม เคยยื่นฟ้องกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เมื่อปี 2558 เพื่อคัดค้านการถูกปฏิเสธการออกหนังสือเดินทาง หลังเจ้าตัวไม่ได้ระบุเพศชายหรือเพศหญิงในเอกสารขอทำหนังสือเดินทาง ดานา ซิม กล่าวหลังได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่ว่า เป็นช่วงเวลาน่าตื่นเต้น ตนจะไปทุกที่และพูดว่า “ใช่ นี่คือตัวตนของฉัน” และว่า ก่อนได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่ เป็นความรู้สึกมเหมือนอยู่ในคุก   “คุณถูกปฏิเสธสถานะการเป็นมนุษย์ และมันเหมือนกับว่าฉันไม่ใช่พลเมืองของประเทศนี้ เพราะฉันถูกปฏิเสธการเข้าถึง และไม่อนุญาตให้เฉพาะคนร้ายและนักโทษเดินทาง” ดานา ซิม กล่าว   ทั้งนี้…

สหรัฐยื่นอุทธรณ์ศาลอังกฤษ ขอตัวผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ไปดำเนินคดีในศาลสหรัฐ

Loading

  ทนายสหรัฐยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลอังกฤษ เรียกร้องให้มีคำสั่งส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัว จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าววิกิลีกส์ไปดำเนินคดีที่สหรัฐ ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนอัสซานจ์ออกโรงประท้วงกลางกรุงลอนดอน   ทนายความตัวแทนของสหรัฐ ส่งคำร้องเมื่อวานนี้ (27 ต.ค.) ให้อังกฤษส่งตัว จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ (Wikileaks) เว็บไซต์ข่าวเอกชนที่แฉข้อมูลลับทางการทหารและข้อมูลเรื่องการทุจริตในหลายประเทศ ไปยังสหรัฐเพื่อรับการดำเนินคดี หลังจากที่ศาลชั้นต้นของอังกฤษไม่อนุญาต จูเลียน อัสซานจ์ ในวัย 50 ปี เป็นที่ต้องการตัวในสหรัฐอเมริกาในข้อหาทางอาญา 18 คดี ซึ่งรวมถึงการละเมิดกฎหมายการสอดแนม หลังจากที่ทีมงานของเขาเผยแพร่เอกสารลับและบันทึกลับของบุคลากรทางการทูตเป็นจำนวนมากในปี 2553   ทนายความเจมส์ ลูอิส ซึ่งทำหน้าที่แทนรัฐบาลสหรัฐ แถลงต่อศาลอุทธรณ์ในลอนดอน ว่าผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของอังกฤษพลาดที่ตัดสินว่า ไม่สามารถส่งตัวอัสซานจ์ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้ เนื่องจากมีแนวโน้มที่เขาจะฆ่าตัวตายในเรือนจำของสหรัฐ ลูอิส โต้แย้งว่า ไม่ควรนำความวิตกเกี่ยวกับสุขภาพจิตของผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์มาเป็นข้ออ้างในการละเว้นการส่งตัว ในเอกสารสรุปข้อโต้แย้งของลูอิส ซึ่งนำเสนอต่อศาลและเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ระบุว่า สหรัฐได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือสิ่งที่เป็นข้อกังวลของศาลอังกฤษ และให้การรับรองด้วยว่า สหรัฐจะยินยอมให้อัสซานจ์ย้ายไปรับโทษจำคุกที่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา   อัสซานจ์ซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ถูกคุมขังที่เรือนจำบัลมาร์ชในลอนดอน แต่เดิมเขาแจ้งต่อศาลว่าป่วยจนให้การไม่ไหว แต่ก็กลับมาให้การผ่านระบบวิดีโอคอลได้ในภายหลัง…