UK ทดสอบให้ตำรวจใส่เครื่อง “ชุดเจ็ตสูทบินได้” จับคนร้าย

Loading

  ตำรวจ UK เตรียมบิน ทดสอบสุดเจ็ตสูทสำหรับใช้บินไปจับคนร้าย ชุดเจ็ตสูทบินได้ที่เห็นในคลิปนี้เป็นของบริษัท Gravity Industries มันถูกติดตั้งด้วย กังหัน 5 ตัวที่หมุนด้วยความเร็ว 120,000 รอบต่อนาที ในคลิปชุดเจ็ตบินด้วยความเร็ว 55 ไมล์ต่อชั่วโมง (88 กม./ชม.) มีบันทึกว่าสามารถบินได้ความเร็วสูงสุด 85 ไมล์ต่อชั่วโมง (136 กม. / ชม.) มีน้ำหนัก 60 ปอนด์ (27 กก.) ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิง Jet A1 (นํ้ามันเครื่องบินไอพ่นพาณิชย์) และน้ำมันดีเซล สามารถบินได้นานต่อครั้ง 5 – 10 นาที     ตามคลิปเป็นการทดสอบชุดเจ็ตสูทสำหรับตำรวจ (แต่คนที่ใส่ชุดในคลิปเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท และหัวหน้าฝ่ายทดสอบการบินของบริษัท Gravity) ณ ห้องปฏิบัติการ Defence Science and Technology Laboratory (DSTL)…

นายกฯ อังกฤษกร้าว รัสเซียเป็นภัยสูงสุด-เตรียมเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์

Loading

  นายกฯ อังกฤษเผยนโยบายต่างประเทศและกองทัพ ยืนยันรัสเซียเป็นภัยคุกคามอันดับ 1 เล็งเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์ และพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักร เผยแพร่รายงานนโยบายต่างประเทศและกองทัพของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ในวันอังคารที่ 16 มี.ค. 2564 ระบุว่า รัสเซียเป็นความท้าทายทางความมั่นคงระดับสูงสุดของประเทศ และอังกฤษจะผลิตหัวรบนิวเคลียร์เพิ่ม รวมทั้งจะขยายบทบาทของประเทศในเรื่องเทคโนโลยีขั้นสูงเกี่ยวกับอวกาศและระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว นายจอห์นสันบอกว่า รัฐบาลอังกฤษจะเพิ่มงบประมาณกลาโหมอีก 2.4 หมื่นล้านปอนด์ตลอดช่วง 4 ปีข้างหน้า และจะลงทุนเงินหลายหมื่นล้านปอนด์ในด้านอื่นๆ รวมถึง 1.5 หมื่นล้านปอนด์สำหรับการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสนาและเทคโนโลยี, 1.7 หมื่นล้านปอนด์สำหรับการต่อสู้กับภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และอีก 1.3 หมื่นล้านปอนด์เพื่อต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 รายงานดังกล่าวยังย้ำจุดยืนว่า การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและกลาโหมระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก และพวกเขาจะรับผิดชอบอย่างแรงกล้าต่อกลุ่มพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แต่ในขณะเดียวกันก็จะขยายบทบาทของอังกฤษไปทั่วโลก โดยโน้มเอียงไปทางภูมิภาค อินโด-แปซิฟิก ในช่วงทศวรรษหน้า รายงานความยาว 116 หน้าฉบับนี้ ยังระบุถึงความท้าทายจากประเทศจีนด้วยว่า “อำนาจที่เพิ่มพูนและการกล้าแสดงออกต่อนานาชาติของจีน อาจเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีนัยสำคัญที่สุดในช่วงทศวรรษที่ 2020” และระบุด้วยว่า…

อังกฤษห้ามผู้เข้าสอบใส่นาฬิกาทุกชนิดเพื่อป้องกันการทุจริต

Loading

เป็นเรื่องยากสำหรับผู้คุมสอบที่จะแยกระหว่างนาฬิกาธรรมดาทั่วไปกับนาฬิกาอัจฉริยะหรือสมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) หรือแม้แต่ให้ผู้คุมสอบตรวจนาฬิกาผู้เข้าสอบทุกคน สหราชอาณาจักรจึงพิจารณาห้ามใส่นาฬิกาทุกชนิดเข้าห้องสอบเพื่อป้องกันการทุจริต คณะกรรมการอิสระด้านการทุจริตการสอบ (The Independent Commission on Examination Malpractice) รายงานว่า มีการทุจริตการสอบอยู่ในระดับต่ำมาก แต่ถึงกระนั้นการห้ามใส่นาฬิกาทุกประเภท รวมถึงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้นั้น จะช่วยลดความเป็นไปได้ที่ผู้สอบจะเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วงสอบได้ แนวคิดนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่อย่างใด โรงเรียนบางแห่งในสหรัฐอเมริกาก็ได้สั่งห้ามนำนาฬิกาข้อมือเข้าห้องสอบมาแล้ว แต่นี่เป็นคำแนะนำจากหน่วยงานควบคุมการวัดคุณสมบัติและการสอบ (The Office of Qualifications and Examinations Regulation หรือ Ofqual) ที่กำกับดูแลทุกโรงเรียนในสหราชอาณาจักร ซึ่งคาดว่าจะบังคับใช้กฎเรื่องการห้ามใส่นาฬิกาเข้าสอบในทุกการจัดสอบภายในฤดูร้อนปีหน้า ปัญหาส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากความสามารถในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์ หลายปีก่อนเคยมีนักเรียนแอบใส่นาฬิกาที่เป็นเครื่องคิดเลขเข้าสอบ แต่หน้าตาอุปกรณ์นั้นดูแยกแยะได้ชัดเจนจากนาฬิกาทั่วไป ซึ่งต่างจากสมาร์ทวอทช์ในปัจจุบันนี้ แน่นอนว่านาฬิกาไม่ใช่วิธีเดียวที่ใช้ในการทุจริต ทางคณะกรรมาธิการยังเสนอให้คอยตรวจสอบเว็บเถื่อนที่อาจจำหน่ายข้อสอบและคอยตรวจตราห้องน้ำในช่วงสอบเพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนไม่ได้ซ่อนโน้ตหรือโทรศัพท์ไว้ ——————————————– ที่มา : ADPT News / 13 กันยายน 2562 Link : https://www.adpt.news/2019/09/13/uk-may-ban-all-watches-during-exams-to-prevent-cheating/

อังกฤษเร่งสอบ หลังพบพัสดุระเบิดส่ง 3 สนามบิน

Loading

  เจ้าหน้าที่ตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของอังกฤษกำลังเร่งตรวจสอบพัสดุต้องสงสัยที่พบวัตถุระเบิดอยู่ภายใน ซึ่งมีการส่งไปยัง 3 สนามบินหลักของอังกฤษ ประกอบด้วยสนามบินฮีทโธรว์ สนามบินวอเตอร์ลู และสนามบินเมืองลอนดอน เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลอังกฤษระบุว่า พบซองจดหมายขนาดกระดาษเอ 4 ซึ่งด้านในบรรจุระเบิดประดิษฐ์ขนาดเล็ก โดยหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของอังกฤษได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ในการพิจารณาคดีในฐานะการดำเนินการที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกัน และยังคงเปิดกว้างเกี่ยวกับแรงจูงใจในการก่อเหตุ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไอร์แลนด์ได้แจ้งเตือนมายังตำรวจนครบาลอังกฤษว่า พัสดุที่มีวัตถุระเบิด 2 ชิ้นที่ถูกส่งไปยังสนามบินฮีทโธรว์และสนามบินวอเตอร์ลูติดแสตมป์ของไอร์แลนด์ ที่สนามบินฮีทโธรว์ต้องมีการอพยพผู้คนออกจากอาคาร หลังจากมีการแจ้งพบพัสดุต้องสงสัยไปยังตำรวจ โดยพัสดุดังกล่าวเกิดติดไฟขึ้นมาหลังเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเปิดห่อพัสดุชิ้นนี้ ตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดระบุว่า พัสดุดังกล่าวมีเจลลี่สีเหลืองอยู่ภายใน ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ประเมินแล้วว่ามันคือระเบิดประดิษฐ์ขนาดเล็ก ซึ่งทำให้จุดระเบิดและติดไฟได้เมื่อทำการเปิด ด้านโฆษกของสนามบินฮีทโธรว์ระบุว่า สนามบินจะให้การสนับสนุนการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อการกระทำที่ถือเป็นการก่ออาชญากรรมดังกล่าว   ——————————————————————————————————————————— ที่มา :  มติชนออนไลน์          วันที่  :  6 มีนาคม 2562 Link :  https://www.matichon.co.th/foreign/news_1392792

อังกฤษจัดเซฟต์เฮาส์ให้“ควีนเอลิซาเบธ”รับจลาจลจากเบร็กซิท

Loading

ในฐานะองค์ประมุขประเทศ สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงวางพระองค์เป็นกลางในทางการเมือง และมักไม่แสดงความคิดเห็นส่วนพระองค์ในประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงในสังคม สื่อชั้นนำอังกฤษสองแห่ง เผยแผนฉุกเฉินของรัฐบาล หากเกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศจากกรณีเบร็กซิทไร้ข้อตกลงในเดือนหน้า ด้วยการประกาศใช้แผนฉุกเฉินช่วงสงครามเย็นอพยพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่2 ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ให้แปรพระราชฐานไปประทับยังเซฟเฮาส์นอกกรุงลอนดอน “แผนอพยพฉุกเฉินนี้ถูกกำหนดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น แต่ตอนนี้ได้มีการนำกลับมาใช้ใหม่หากเกิดความไม่สงบ หรือเกิดจลาจลในประเทศจากกรณีของเบร็กซิทที่ไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้”ซันเดย์ไทม์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งบริหารจัดการเกี่ยวกับปัญหาละเอียดอ่อน ขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะ เมล สื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังอีกฉบับของอังกฤษ รายงานตรงกันว่า รัฐบาลมีแผนที่จะให้บรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ รวมถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่2 แปรพระราชฐานไปประทับที่อื่นเช่นกัน เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่2แห่งสหราชอาณาจักร มีพระราชดำรัสเรียกร้องให้ประชาชนแสวงหาความเห็นพ้องต้องกันที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และคารพ ความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งบรรดาผู้สันทัดกรณีให้ความเห็นว่าพระราชดำรัสครั้งนี้ สื่อถึงประเด็นร้อนของประเทศคือการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (เบร็กซิท) ซึ่ง ส.ส.จะต้องลงมติในข้อตกลงเบร็กซิทของนายกรัฐมนตรีเทรีซา เมย์ ทั้งนี้ ในฐานะองค์ประมุข สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงวางพระองค์เป็นกลางในทางการเมือง และมักไม่แสดงความคิดเห็นส่วนพระองค์ในประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงในสังคม แต่พระราชดำรัสครั้งล่าสุดในงานฉลองครบรอบ 100 ปีขององค์กรสตรีซานดริงแฮม ในมณฑลนอร์ฟอล์ก สมเด็จพระราชินีนาถฯ ตรัสว่าการยึดถือความอดทนอดกลั้น มิตรภาพ การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และการคำนึงถึงความต้องการของผู้อื่น ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบันเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต —————————————————– ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / 4 กุมภาพันธ์…