เอฟบีไอชี้เกาหลีเหนือ แฮ็กบล็อกเชน “ฮาร์โมนี” สูญ 3,000 ล้านบาท

Loading

    หน่วยงานสอบสวนของรัฐบาลวอชิงตัน กล่าวว่า กลุ่มแฮกเกอร์ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากเกาหลีเหนือ โจมตีบล็อกเชนของผู้พัฒนาในสหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว สร้างความเสียหายมากกว่า 3,000 ล้านบาท   สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ว่า สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ออกแถลงการณ์ว่า “ลาซารัส กรุ๊ป” และ “เอพีที38” ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ อยู่เบื้องหลังการโจมตีทางไซเบอร์ ต่อระบบ “ฮาร์โมนี ฮอไรซอนส์ บริดจ์” ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมบล็อกเชนของบริษัทฮาร์โมนี หนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนสกุลเงินดิจิทัลของสหรัฐ เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว และสร้างความเสียหายมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,276.80 ล้านบาท)   Two hacker groups associated with North Korea, the Lazarus Group and APT38, were…

กองทัพเกาหลีใต้ยอมรับ โดรนเกาหลีเหนือล้ำเขตห้ามบินรอบทำเนียบ ปธน.

Loading

  กองทัพเกาหลีใต้ยอมรับว่า โดรนของเกาหลีเหนือรุกล้ำเขตห้ามบินรอบทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโซล ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องประสิทธิภาพของระบบป้องกันทางอากาศของประเทศ   เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 ม.ค. 2566 กองทัพของประเทศเกาหลีใต้ออกมายอมรับว่า อากาศยานไร้พลขับ หรือ โดรน ของเกาหลีเหนือลำหนึ่ง บินเข้าสู่พื้นที่ทางตอนเหนือของเขตห้ามบินรัศมี 3.7 กม. รอบทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโซล ในตอนที่มันรุกล้ำน่านฟ้าของประเทศเมื่อปลายเดือนก่อน   เจ้าหน้าที่กองทัพบอกกับสำนักข่าว ยอนฮัป ของเกาหลีใต้ว่า โดรนลำนี้บินรุกล้ำชายขอบทางตอนเหนือของเขตห้ามบินเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่ได้เข้าใกล้อาคารความมั่นคงสำคัญใด ๆ   ทั้งนี้ โดรนดังกล่าวเป็นหนึ่งในอากาศยานไร้คนขับของเกาหลีเหนือ 5 ลำ ที่บินรุกล้ำชายแดนเข้าสู่น่านฟ้าของเกาหลีใต้เมื่อ 26 ธ.ค. 2565 จนทำให้กองทัพเกาหลีใต้ต้องส่งเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์จู่โจมออกปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม กองทัพไม่ได้ยิงทำลายโดรนฝูงนี้ และปล่อยให้มันบินในน่านฟ้าของประเทศนานหลายชั่วโมง   การรุกล้ำน่านฟ้าของโดรนฝูงนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ระบบป้องกันทางอากาศของประเทศขึ้นในเกาหลีใต้ ในขณะที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีคุกคามมากขึ้นด้วยการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีขีปนาวุธ และทดสอบยิงมิสไซล์มากครั้งที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อปีที่ผ่านมา   “การรุกล้ำเขตแดนของโดรนเปิดเผยให้เห็นความไม่พร้อมของเกาหลีใต้ในการตรวจจับ, ติดตาม และยิงทำลายโดรนขนาดเล็กเช่นนี้” ยอนฮัประบุ   เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้ประธานาธิบดี ยูน ซุก-ยอล ขู่ระงับสนธิสัญญาทางทหารที่ทั้งสองฝ่ายทำไว้ในปี 2561 ซึ่งกำหนดให้หยุดพฤติกรรมเป็นปรปักษ์,…

ผู้นำเกาหลีใต้ขู่พร้อมยกเลิกสนธิสัญญาทางทหาร หากเกาหลีเหนือรั้นส่งโดรนป่วนน่านฟ้าอีก

Loading

  วันที่ 4 มกราคม ประธานาธิบดียุนซอกยอลแห่งเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เขาพร้อมพิจารณาระงับสนธิสัญญาทางทหารระหว่างสองเกาหลีที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2018 หากเกาหลีเหนือส่งโดรนรุกล้ำน่านฟ้าของเกาหลีใต้อีกครั้ง   คำกล่าวของยุนมีขึ้นหลังจากที่เขาได้ร่วมประชุมเพื่อกำหนดมาตรการตอบโต้ต่อเกาหลีเหนือ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือได้ส่งโดรนขนาดเล็กหลายลำรุกล้ำน่านฟ้าของเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปี ขณะที่ฝั่งเกาหลีใต้ได้ส่งโดรน 3 ลำเข้าไปในเกาหลีเหนือเพื่อเป็นการตอบโต้   คิมอึนเฮ เลขาธิการอาวุโสฝ่ายกิจการสื่อของยุน เปิดเผยว่า “ในระหว่างการประชุม ท่านประธานาธิบดีสั่งการให้สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาระงับข้อตกลงทางทหาร หากเกาหลีเหนือยังดึงดันกระทำการยั่วยุด้วยการบุกรุกดินแดนของเราอีกครั้ง”   ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ และอดีตประธานาธิบดีมุนแจอินแห่งเกาหลีใต้ ได้ร่วมกันทำข้อตกลงฉบับหนึ่งขึ้นมา โดยเรียกร้องให้มีการยุติ ‘การกระทำที่เป็นปรปักษ์ทุกรูปแบบ’ รวมถึงจัดตั้งเขตห้ามบินตามแนวพรมแดน และร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone) แต่ถึงเช่นนั้นข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ถือเป็นสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ   การยกเลิกสนธิสัญญาทางทหารนี้อาจทำให้ทั้งสองประเทศส่งทหารกลับมาประจำการอีกครั้ง รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะจัดการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงในเขตห้ามบิน และการส่งใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อข้ามพรมแดน ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่ทำให้ฝั่งเกาหลีเหนือโกรธเกรี้ยวอย่างมากจนมีการงัดใช้มาตรการตอบโต้หลายครั้งก่อนที่จะมีการทำข้อตกลงนี้   นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีจะมีปัญหามายาวนานหลายทศวรรษ แต่สถานการณ์กลับยิ่งตึงเครียดมากขึ้น นับตั้งแต่ยุนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเขาเป็นผู้นำที่ให้คำมั่นว่าจะใช้ไม้แข็งเพื่อจัดการกับการยั่วยุของเกาหลีเหนือ โดยในระหว่างการหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว ยุนกล่าวว่าเกาหลีเหนือได้กระทำการละเมิดข้อตกลงหลายครั้งจากการกระหน่ำทดสอบยิงขีปนาวุธ และเตือนว่าเขาพร้อมคว่ำข้อตกลงหากชนะการเลือกตั้ง และหลังจากที่ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำประเทศแล้ว เขากล่าวว่าชะตากรรมของสนธิสัญญานี้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเกาหลีเหนือเอง    …

“คิมจองอึน” สั่งเร่งพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป-ขยายคลังแสงนิวเคลียร์

Loading

  สื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือระบุว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเรียกร้องให้พัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่และขยายคลังแสงนิวเคลียร์ เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามที่นำโดยสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดที่ปะทุระหว่างสองเกาหลี   ในการประชุมของพรรคแรงงาน คิมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษา “อำนาจทางทหารที่ครอบงำ” เพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยและความมั่นคง การประชุมมีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสองเกาหลี หลังโดรนของเกาหลีเหนือบินข้ามพรมแดนเกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และการยิงขีปนาวุธหลายครั้งของเกาหลีเหนือ ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM)   คิมกล่าวหารัฐบาลสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ว่า พยายามโดดเดี่ยวและยับยั้งเกาหลีเหนือด้วยการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ที่ถูกนำไปใช้อย่างต่อเนื่องในเกาหลีใต้ โดยเรียกมันว่า “สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”   สำนักข่าวเคซีเอ็นเอระบุว่า นายคิมให้คำมั่นว่าจะพัฒนาระบบขีปนาวุธข้ามทวีปอีกระบบหนึ่ง ซึ่งมีภารกิจหลักคือการโจมตีตอบโต้ด้วยนิวเคลียร์อย่างรวดเร็ว ภายใต้แผนการหนุนกองกำลังนิวเคลียร์ของประเทศ   แถลงการณ์ยังระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกาหลีเหนือต้องใช้ความพยายามเป็นสองเท่าในการเสริมกำลังทหาร เพื่อตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวทางทหารที่น่ากังวลของสหรัฐฯ และกองกำลังศัตรูอื่น ๆ   คิมกล่าวว่า เกาหลีใต้กลายเป็น “ศัตรูที่ไม่อาจปฏิเสธของเรา” โดยเป็น “ศัตรูตัวฉกาจในการสร้างอาวุธที่อันตรายและไร้ความรอบคอบ” และการเคลื่อนไหวทางทหารที่ไม่เป็นมิตร   “มันเน้นย้ำถึงความสำคัญและความจำเป็นของการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีจำนวนมาก และเรียกร้องให้เพิ่มคลังแสงนิวเคลียร์ของประเทศแบบทวีคูณ” พร้อมเสริมว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็น “แนวทางหลัก” ของยุทธศาสตร์นิวเคลียร์และการป้องกันประเทศในปี 2566   เคซีเอ็นเอรายงานว่า ในส่วนหนึ่งของแผน เกาหลีเหนือจะเปิดตัวดาวเทียมทางการทหารดวงแรก “โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”…

ผู้นำเกาหลีใต้จะตั้งกองโดรน

Loading

  โซล 27 ธ.ค.- ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอลของเกาหลีใต้จะตั้งหน่วยพิเศษในกองทัพที่เชี่ยวชาญเรื่องอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน และวิจารณ์การรับมือของกองทัพกรณีฝูงโดรนเกาหลีเหนือล่วงล้ำน่านฟ้าเกาหลีใต้เมื่อวันจันทร์   ประธานาธิบดียุนกล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ว่า เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์แสดงให้เห็นว่ากองทัพขาดความพร้อมและการฝึกฝนอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ จำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมและฝึกฝนให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น   ความไม่พร้อมนี้เป็นผลจากการที่รัฐบาลชุดก่อนมีนโยบายเกาหลีเหนือที่เป็นอันตราย โดยกำหนดนโยบายตามที่เกาหลีเหนือแสดงเจตนาอันดีและข้อตกลงทางทหารสองเกาหลีปี 2561 ที่ห้ามการดำเนินกิจกรรมที่เป็นปรปักษ์บริเวณพรมแดน   ผู้นำเกาหลีใต้เผยว่า รัฐบาลได้เตรียมการมาระยะหนึ่งแล้วเรื่องการสร้างหน่วยโดรนเพื่อจับตาและสอดแนมสถานที่ทางทหารหลัก ๆ ของเกาหลีเหนือ ขณะนี้จะเร่งทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยจะนำโดรนล่องหนชั้นเยี่ยมมาเสริมศักยภาพในการจับตาและสอดแนม   ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้แถลงวันนี้ว่า กองทัพตรวจพบ ติดตาม และยิงเตือนฝูงโดรนเกาหลีเหนือ 5 ลำที่ข้ามเส้นแบ่งเขตแดนทางทหารเข้ามาบินเหนือน่านฟ้าเกาหลีใต้ร่วม 5 ชั่วโมงเมื่อวันจันทร์ และได้ไล่ตามโดรนลำหนึ่งที่บินเหนือน่านฟ้าเขตมหานครโซล แต่ไม่สามารถโจมตีได้เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อพลเรือน   เกาหลีเหนือเคยส่งโดรนล่วงล้ำน่านฟ้าเกาหลีใต้ครั้งหลังสุดในปี 2560 สันนิษฐานว่าเป็นโดรนสอดแนม โดยตกอยู่บนภูเขาใกล้พรมแดนสองประเทศ ส่วนปี 2557 พบโดรนเกาหลีเหนือบนเกาะแห่งหนึ่งที่เป็นเกาะพรมแดนของเกาหลีใต้ โดรนเหล่านี้ติดตั้งกล้องและทำขึ้นอย่างลวก ๆ       ————————————————————————————————————————————————————————————————– ที่มา :           …

เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เกือบ 900 รายถูกแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือหลอกเอาข้อมูลล็อกอิน

Loading

  สำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีเหนือได้หลอกเอาข้อมูลล็อกอินจากผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศของเกาหลีใต้อย่างน้อย 892 รายมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน โดยโจมตีด้วยการส่งอีเมลปลอมเป็นบุคคลสำคัญเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะข้อมูลล็อกอินที่คนร้ายส่งเว็บปลอมเพื่อทำฟิชชิ่ง (phishing) ในจำนวนนี้มีเหยื่อ 49 คนล็อกอินเข้าเว็บปลอมจนคนร้ายได้ข้อมูลไปจริง ๆ   มีการส่งอีเมลปลอมเป็นบุคคลสำคัญอย่างเช่น เลขาของสำนักงานพรรคพลังประชาชน (PPP) และเจ้าหน้าที่จากสถาบันการทูตแห่งชาติ และหลอกให้ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ปลอมหรือให้เปิดไฟล์แนบที่มีไวรัสทำให้กลุ่มแฮ็กเกอร์สามารถเข้าควบคุมบัญชีอีเมลและดาวน์โหลดข้อมูลออกไปได้   ทางสำนักงานตำรวจระบุว่าแฮ็กเกอร์ที่การเปลี่ยนแปลงเลข IP Address และใช้เซิร์ฟเวอร์ถึง 326 แห่งใน 26 ประเทศเพื่อให้ยากต่อการสืบหาตัว ตำรวจเชื่อว่าเป็นแฮกเกอร์กลุ่มเดียวกับที่เจาะระบบของบริษัท Korea Hydro & Nuclear Power ในปี 2014 โดยสันนิษฐานจากวิธีการและกลุ่มเป้าหมายของการโจมตี   นอกจากการส่งอีเมลปลอมแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีแรกที่ทางตำรวจเกาหลีใต้พบว่าแฮ็กเกอร์ของเกาหลีเหนือใช้แรนซัมแวร์เพื่อเข้ารหัสไฟล์บนอุปกรณ์และเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อก กรณีนี้เกิดขึ้นกับห้างสรรพสินค้า โดยเซิร์ฟเวอร์ 19 ตัวของ 13 บริษัทถูกโจมตี มี 2 บริษัทตัดสินใจจ่ายค่าไถ่รวม 2.5 ล้านวอนหรือประมาณ 7 หมื่นบาท   หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้ (NIS)…